เบื้องหลังบริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ ต่างเติบโตจากเพียงแค่สตาร์ทอัพเล็กๆในโรงรถยนต์ จนกลายมาเป็นบริษัทมูลค่าแสนล้านดอลลาร์ ไปจนถึงหลักล้านล้านดอลลาร์
โดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Apple, Google, Amazon, Meta (Facebook) และอื่นๆ อีกมากมาย ต่างได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า ‘Venture Capital’ หรือเรียกย่อๆ ว่า VC นั่นเอง
[ Venture Capital คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ ]
‘Venture Capital’ หรือนักลงทุน VC คือกลุ่มบริษัทร่วมทุนที่มักจะนำเงินไปลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินลงทุนของสถาบันการเงินแบบที่บริษัทอื่นๆ โดยนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นส่วนทุน (หุ้น) ของบริษัทนั้น
ทั้งนี้ ก่อนจะลงทุนในแต่ละครั้ง นักลงทุน VC จะต้องทำการบ้าน โดยจะต้องได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละครั้งเป็นจำนวนมากๆ เพื่อทดแทนความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก
นักลงทุน VC ถือได้ว่ามีความสำคัญจนเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงบริษัทเทคโนโลยี หรือสตาร์อัพขนาดเล็กต่างๆ ในระยะแรกเลยก็ว่าได้
เนื่องจากว่าบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และในอีกหลายกรณีเจ้าของบริษัทส่วนมากมักจะไม่มีประสบการณ์ในโลกธุรกิจ
ซึ่งเหล่านักลงทุน VC จะคอยทำหน้าที่สนับสนุนทั้งในด้านเงินทุน คอนเนคชัน ความรู้ และกลยุทธ์ในการทำธุรกิจเหล่านั้นให้เติบโต
[ ถอดหลักคิดและกลยุทธ์ของนักลงทุน VC ]
ในโลกของนักลงทุน VC มีตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย อาทิ Sequoia Capital, Andreessen Horowitz, Kleiner Perkins, Founders Fund ฯลฯ
นักลงทุนเหล่านี้ ต่างเข้าไปลงทุนในบริษัทที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น จนสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับ 10 เท่าไปจนถึง 1000 เท่าได้สำเร็จ
โดยหลักคิดและกลยุทธ์ของนักลงทุน VC ประกอบไปด้วย 5 ข้อ ดังนี้
1. มองหาผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดา
ในการลงทุนแต่ละครั้ง นักลงทุน VC จะคาดหวังผลตอบแทนในระดับเกิน 10 เท่า หรือ 1000% โดยตลอด เนื่องจาก VC มักจะเข้าไปลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีโอกาสล้มละลายสูง ทำให้ต้องมีผลตอบแทนที่สูงมากพอมาเพื่อชดเชยความเสี่ยง
2. มองหาบริษัทที่ไม่ธรรมดา
การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะใช้หลักการลงทุนแบบ VC (Venture Capital), VI (Value Investor) หรือ MI (Momentum Investor) ก็หนีไม่พ้นการมองหาบริษัทที่โดดเด่น
แต่การจะเป็นบริษัทที่ไม่ธรรมดาของ VC นั้นจะต้องเป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการดีกว่าคู่แข่งเดิมอย่างมาก หรือถ้าเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบใหม่ ต้องเป็นรูปแบบที่ลูกค้าจะชอบ และทำให้ชีวิตเขาเหล่านั้นสะดวกขึ้นและดีขึ้น
กล่าวคือต้อง ‘ดีกว่า สะดวกกว่า ถูกกว่า’
3. มองหาขนาดตลาดที่ใหญ่
นักลงทุน VC ไม่ได้มองหาเพียงบริษัทที่ดีเท่านั้น แต่อีกหนึ่งคุณสมบัติที่สำคัญของการลงทุนนั้น คือ ธุรกิจนั้นต้องอยู่ในตลาดหรืออุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่มากเพียงพอ
เพราะแม้ว่าบริษัทจะเก่งและมีสินค้าบริการที่ดี แต่หากอยู่ในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ก็อาจทำให้บริษัทเติบโตได้ดีในระยะสั้นเท่านั้น และถึงจุดอิ่มตัวอย่างรวดเร็ว
4. มองหาผู้ก่อตั้งและทีมบริหารที่โดดเด่น
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่เรียกว่าแทบจะสำคัญที่สุดในบรรดาคุณสมบัติอื่นๆ เลยก็คือ ลักษณะนิสัยที่โดดเด่นของผู้ก่อตั้งและทีมบริหาร เพราะในหลายครั้ง การเลือกผู้ก่อตั้งที่ถูกคน แม้เขาจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผิด เขาเหล่านั้นก็สามารถปรับธุรกิจของตนไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่า
ในทางกลับกัน แม้บริษัทจะสร้างสินค้าที่ดีที่สุด หรืออยู่ถูกอุตสาหกรรม แต่หากผู้บริหารมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนที่น้อย ก็อาจจะทำให้บริษัทเจ๊งไปในท้ายที่สุด
5. มองหาการกระจายความเสี่ยง
การกระจายความเสี่ยง คืออีกหนึ่งใจความสำคัญของการลงทุนในแบบ VC เนื่องจากว่าหลายบริษัทที่ VC เข้าไปร่วมทุนนั้นมักเป็นบริษัทขนาดเล็ก และมีความเสี่ยงต่อการล้มละลายได้สูง
ทำให้ส่วนมาก VC มักจะกระจายการลงทุนประมาณ 30-50 บริษัทในแต่ละพอร์ทการลงทุน โดยคาดหวังว่า หากเพียง 20% ของบริษัทที่ลงทุนไปประสบความสำเร็จ หรือสร้างทำผลตอบแทนได้ในระดับ 50-100 เท่า ก็จะทำให้พอร์มการลงทุนโดยรวมเติบโตได้อย่างโดดเด่นแล้ว
สำหรับนักลงทุนไม่ว่าจะในหรือนอกตลอดหุ้น ก็สามารถนำหลักคิดและกลยุทธ์ของนักลงทุน VC ไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของตัวเองได้
ที่มา:
- www.forbes.com/sites/valleyvoices/2019/02/14/there-are-only-three-vc-strategies
- dealroom.net/blog/top-venture-capital-firms
- www.toptal.com/finance/venture-capital-consultants/venture-capital-portfolio-strategy