SHARE

คัดลอกแล้ว

สัมภาษณ์พิเศษ เผยที่มาของ The Lord of the Rings: The Ring of Power ความลำบากในการสร้าง และความรู้สึกของนักแสดงของซีรีส์จากวรรณกรรมตำนาน


หลายคนเติบโตขึ้นมากับการรอดูภาพยนตร์ชุด The Lord of the Rings และดื่มด่ำไปกับโลกที่น่าอัศจรรย์นี้ ความรู้สึกนี้ได้กลับมาอีกครั้งเมื่อได้ชม The Lord of the Rings: The Ring of Power ทาง  Prime Video เพราะแม้จะไม่ได้ถูกสร้างจากหนังสือของ เจ.อาร์.อาร์ โทลคีนโดยตรง แต่แพทริค แมคเคย์ โชว์รันเนอร์ ผู้ควบคุมความเป็นไปของซีรีส์ชุดนี้ ก็ได้สร้างเรื่องราวใหม่จากพื้นฐานที่หนังสือได้วางไว้ โดยเขาเผยวิธีการที่เขาให้เลือกสิ่งที่จะเข้ามาอยู่ในซีรีส์ชุดนี้ผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษนี้

“เจ.ดี. (เจ.ดี. เพย์น – โชว์รันเนอร์ร่วม) และผมตื่นเต้นมากตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินว่า อเมซอนได้สิทธิ์การผลิตซีรีส์เรื่องนี้จากหนังสือสุดมหัศจรรย์ของโทลคีนอย่าง The Lord of the Rings และ The Hobbit เราได้รับโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้นำเสนอว่า ถ้าเราได้ผลิตซีรีส์ชุดนี้เราจะทำอะไรบ้าง เราดำดิ่งลงไปในหนังสือเหล่านั้นซึ่งผมได้รู้จักมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเจ.ดี. ก็ได้ทำความรู้จักกับมันในช่วงหลังของชีวิตตอนเป็นแฟนคลับของภาพยนตร์ชุดนี้

เรามองหาเรื่องราวที่มีลมหายใจ ความลึกซึ้ง และให้อารมณ์ที่หลากหลาย ที่ทำให้เรารู้สึกว่าควรค่าที่จะให้โอกาสมันสักหน่อย และในเวลาไม่นานเราก็ตัดสินใจเลือกเรื่องราวใน Second Age ซึ่งเป็นพื้นหลังของเรื่องราวใน Lord of the Rings แต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นแค่เรื่องราวในอดีต ทว่าเป็นเรื่องที่มีอยู่และยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง สำหรับเรา มันเป็นเรื่องสำคัญที่ ถ้าเราจะกลับไปเล่าเรื่องราวอันเป็นที่รักและได้รับความชื่นชมอย่างนี้ มันต้องเป็นไปในทิศทางที่มันควรจะเป็นและควรค่าที่จะถูกเล่า เราไม่อยากจะแค่ทำอะไรซ้ำ หรือทำอะไรที่ทำให้ผู้ชมนึกถึงสิ่งที่ชอบอื่น ๆ

เราอยากได้เรื่องที่คุณอยากจะเดินทางไปกับมัน ถึงแม้คุณจะไม่เคยอ่านหนังสือ The Lord of the Rings เลย ไม่เคยดูภาพยนตร์ หรือแม้ชอบ The Lord of the Rings เลยสักนิด และถ้าคุณเป็นซุปเปอร์แฟน ก็หวังว่านี่จะเป็นเรื่องราวที่คุณรอคอยจะได้ดูบนหน้าจอมานานแสนนาน และความรู้สึกนี้ก็ถูกสะท้อนผ่านตัวละครที่เป็นท่ีรักของผู้ชมมาก่อนอย่าง กาลาเดรียล หรือ เอลรอน ที่จะได้เห็นพวกเขาพันปีก่อนที่เขากำลังพัฒนามาเป็นคนที่เราเห็นในหนังสือ การจินตนาการถึงโลกนั้นและสร้างมันขึ้นมาจากเบาะแสที่โทลคีนทิ้งไว้เป็นทั้งความท้าทาย โอกาส และน่ายินดีครับ”

นอกจากนี้เขายังเผยถึงความยากของกระบวนการพิชต์ที่เขาต้องนำเสนอซีรีส์ชุดนี้ต่อหน้าทีมงานของอเมซอน และ Tolkien Estate ผู้ดูแลลิขสิทธิ์งานของโทลคีน อยู่หลายครั้งหลายด่านยาวนานถึงหกเดือนก่อนจะได้รับหน้าที่เป็นโชว์รันเนอร์ และ ลินด์เซย์ เวเบอร์ โปรดิวเซอร์ของ The Lord of the Rings: The Ring of Power ยังเผยถึงสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการพิชต์ก็คือการสร้างมันออกมาจริง ๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมทางหน้าจอ

“สำหรับฉันสิ่งที่ยากที่สุดคือการพยายามตามจิตนาการของทั้งเจ.ดี. แพททริค และศาสตราจารย์โทลคีน ให้ทัน มันเป็นทะเลแห่งจินตนาการที่กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาเขียนซีซั่นแรกที่น่าทึ่ง ทั้งทำให้อบอุ่นใจ ชวนให้ใจสลาย และเต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์ ไปพร้อมกัน และฉันก็ชอบแซวพวกเขาว่า ‘แค่ตวัดปากกาไปครั้งเดียว’ เขียนอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น ‘กรุงโรมมอดไหม้’ แต่พอมันต้องมาอยู่บนจอมันต้องมีคนเป็นน้อย เอฟเฟคที่ใช้งานได้จริง โลเคชั่น สเปเชียลเอฟเฟค สตันท์ ม้า ดาบ และอะไรอีกมากมายที่คนจะต้องฝึกใช้งานมัน ฉันก็เลยพบว่าตัวเองหัวเราะตอนที่พวกเขายื่นบทมาให้ฉันอยู่บ่อย ๆ เพราะมันสนุกน่าเหลือเชื่อ และในฐานะโปรดิวเซอร์และแฟนคลับของเรื่อง ฉันอยากจะทำทุกอย่างให้เกิดขึ้นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ฉันก็คิด ‘โอ้ ทุกอย่างช่างเป็นเหมือนการผจญภัย’ เมื่อต้องทำให้มันประกอบร่างขึ้นมาให้ได้”

แพททริคกล่าวอย่างติดตลกว่า “ไม่มีส่วนไหนในบทของ The Lord of the Rings: The Ring of Power ที่เขียนว่า ‘ภายในร้านกาแฟ’”

ลินด์เซย์หัวเราะและย้ำว่า “ไม่มีเลย ทุกอย่างต้องถูกสร้าง ถูกทำขึ้นมาและทำให้ดูเก่าให้ทุกคนเชื่อว่ามันเก่าแก่เป็นพันปี”

แพททริคยังเสริมอีกว่า “ทั้งเรือ มหาสมุทร และชายฝั่งทะเล อาณาจักรใต้ดิน ปราสาทที่สร้างขึ้นมาจากต้นไม้ในป่า เพื่อให้ทุกอย่างที่ว่ามีชีวิตขึ้นมาจริงๆ เรามาต้องอาศัยคนเป็นกองทัพ และเราหวังว่ามันจะดูสมจริงและทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าได้ดื่มด่ำไปกับโลกใบนี้นะครับ”

ไม่ใช่แค่เพียงโชว์รันเนอร์และโปรดิวเซอร์ที่รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติ แต่นักแสดงก็เช่นกันโดย ชาร์ลี วิคเกอร์ส (รับบท ฮาลแบรนด์) และ ไทโร มูฮาฟิดิน (รับบท ธีโอ) เผยว่าพวกเขาต่างก็กลายเป็นแฟนของภาพยนตร์และหนังสือเมื่อเขาได้รับบท โดยไทโรที่เกิดหลังภาพยนตร์ทั้งสามภาคออกฉายกล่าวว่า

“ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องของคนเจนเนอร์เรชั่นผมสักเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่โดผมก็ต้องเคยได้ยินถึง The Lord of the Rings มาอยู่แล้วเพราะว่ามันดังมาก คุณใช้ชีวิตโดยที่ไม่เคยรับรู้ถึงความดังของมันได้หรอก ใครบ้างจะไม่รู้จักแฟนไชส์ชุดนี้ ตอนที่ผมได้รับบทนี้ผมก็เลยไปค้นหาข้อมูล ดูหนัง อ่านหนังสือ…ที่จริงก็อ่านแค่ The Hobbit เพราะว่าการอ่านนิยายมันยากนิดหน่อยสำหรับผม เพราะสมองผมมันไม่สามารถจดจ่อกับหน้ากระดาษนาน ๆ ได้ แต่ The Hobbit มันสั้นกว่าก็เลยง่ายหน่อย แต่มันก็ทำให้ผมคุ้นเคยกับโลกใบนี้ และเมื่อผมได้รู้จริง ๆ ว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไร …ผมพูดได้เลยว่าผมดูหนังอย่างน้อย ๆ ก็ห้าครั้ง ทุกครั้งที่ผมจะแสดงผมจะดาวน์โหลดมันไว้ในมือถือแล้วดูมันตลอด จนตอนนี้ผมเหมือนจะคลั่งมันหน่อย ๆ ซึ่งก็แปลกดีครับ”

ส่วนชาร์ลีก็กล่าวว่าเขารักคุ้นเคยกับภาพยนตร์ดีและยังเคยเล่นเกมเพลย์สเตชั่นของ The Lord of the Rings อีกด้วย “ใช่ผมเล่นเกมเป็นตัวอารากอนด้วย แล้วตอนที่ผมได้รับบทผมก็นั่งอ่านหนังสือจนตอนนี้ผมเป็นแฟนคลับหนักกว่าตอนยังเป็นเด็กเสียอีกครับ” เขาอธิบายว่ามันเป็นสิ่งที่เสริมให้เขาเข้าใจเรื่องและสิ่งแฟน ๆ ที่มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับซีรีส์ชุดนี้ และเขาก็มีความคิดและความเชื่อไม่ต่างกับแฟน ๆ ของ LOTR คนอื่น ๆ

ทั้งธีโอและฮาลแบรด์ต่างก็เป็นตัวละครใหม่ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในซีรีส์ ซึ่งทั้งสองก็เผยมันมีทั้งงข้อดีและข้อเสียงของการได้รับบทเป็นตัวละครใหม่

“มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่สิ่งที่ผมเจอกับตัวละครฮาลแบรนด์ คือถึงเขาจะเป็นตัวละครใหม่แต่ก็ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคย ผมคิดว่าอย่างน้อยเขาก็มีความคล้ายกับตัวละครอื่น ๆ ที่อยู่ในเรื่องอยู่แล้ว ผมไม่ได้เริ่มต้น [สร้างตัวละคร] จากศูนย์แต่เริ่มต้นจากพื้นฐานจากงานของโทลคีน ตัวละครใหม่คือสิ่งที่โชว์รันเนอร์สร้างขึ้นมาได้อย่างวิเศษมาก ๆ เพราะพวกเขามีแก่นที่มาจากโทลคีนอยู่ข้างในครับ” ชาร์ลีกล่าว

ส่วนไทโรก็พูดถึงความรู้สึกของการได้รับบทเป็นตัวะลครใหม่และมนุษย์วัยรุ่นหนึ่งเดียวในมิดเดิลเอิร์ธ

“ผมรู้สึกว่ามันมีแรงกดดันมากมายอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความลอยตัวจากความกดดันนั้น เพราะสำหรับตัวละครที่มีอยู่เดิมแฟน ๆ ถ้าไม่เคยเห็นพวกเขาจากภาพยนตร์ ก็ต้องเคยอ่านมาจากหนังสือ และพวกเขาก็มีภาพของตัวละครเหล่านั้นอยู่ในหัว และความคาดหวังว่าพวกเขาต้องออกมาเป็นแบบไหน ในขณะที่การเป็นตัวละครใหม่ซึ่งถูกสร้างขึ้นมามันไม่มีความคาดหวังนั้น หรือความกดดันที่จะทำให้ทัดเทียมกับความคาดหวังของแฟน ๆ แน่นอนว่าดีที่จะมีอิสระแบบนั้นในขอบเขตของความเป็นโทลคีน

มันน่าสนใจมาก โดยเฉพาะสำหรับผมที่ได้รับบทมนุษย์วัยรุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นตัวละครแบบนี้ในมิลเดิลเอิร์ธ บนจอ ผมได้ทำงานกับเจ.ดี. และแพททริค และคิดถึงสิ่งที่เขาน่าจะรู้สึก ฮอร์โมนที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายของเขา และอะไรอื่น ๆ ซึ่งมันดีมากที่ได้ทำงานโดยค่อย ๆ ศึกษาเลย์เยอร์ต่าง ๆ ของตัวละครครับ”

สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าเรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นอย่างไรต่อไป และซีรีส์จะให้อารมณ์แบบไหนไทโรและได้ให้คำใบ้ว่ามันมีทั้ง “จิตใจ ความรัก และ ความเชื่อ” ส่วนชาร์ลีก็บอกให้เรารอชม ”การผจญภัย ความหวัง และความมืดมิด”

ชม The Lord of the Rings: The Ring of Power ได้ในวันที่ 2 กันยายน ทาง Prime Video

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า