‘ยูนิลีเวอร์’ ประกาศแผนประหยัดต้นทุน แยกธุรกิจไอศกรีม เลิกจ้าง 7,500 ตำแหน่งทั่วโลก

‘ยูนิลีเวอร์’ หนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีแบรนด์ Consumer Product ที่อยู่ในชีวิตประจำวันมากถึง 400 แบรนด์ เดินหน้าแก้ผลดำเนินงานลด ประกาศแผนประหยัดต้นทุนครั้งใหม่ให้ได้ 869 ล้านดอลลาร์ (ราว 3 หม่ื่นล้านบาท)

โดยจะมีการเลิกจ้่างทั่วโลก 7,500 ตำแหน่ง และหนึ่งในแผนสำคัญคือ แยกธุรกิจไอศกรีม ซึ่งมีแบรนด์ยอดนิยม เช่น Wall’s, Magnum, Ben & Jerry’s ฯลฯ ออกมาจากบริษัทแม่ โดยยูนิลีเวอร์ได้ประกาศแผนประหยัดต้นทุนออกมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา

ตามการรายงานของรอยเตอร์ ระบุว่า การแยกธุรกิจไอศกรีมจะเริ่มทันที และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งแผนนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุน และผู้ถือหุ้นยูนิลีเวอร์ ส่งผลให้หุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 6%

สำหรับธุรกิจไอศกรีมของยูนิลีเวอร์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของยอดขายทั่วโลก

มีการวิเคราะห์ว่าการแยกธุรกิจไอศคกรีมออกมาเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในเชิงกลยุทธ์ เพราะเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างผันผวนในด้านจุดยืนของอัตรากำไร ดังนั้นนักลงทุนและผู้ถือหุ้นจึงมีผลตอบรับในเชิงบวก เพราะเห็นว่ากลุ่มธุรกิจไอศกรีม เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจโดยรวมมาระยะหนึ่งแล้ว

สำหรับโครงการประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 800 ล้านยูโร หรือ 869 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นโครงการสำหรับ 3 ปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานประมาณ 7,500 ตำแหน่งทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานในสำนักงาน โดยคาดว่าจะมีต้นทุนการปรับโครงสร้างทั้งหมดที่ 1.2 % การปรับลดนี้จะส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 5.9 % ของพนักงานทั้งหมด 128,000 คน

‘ไฮน์ ชูมัคเกอร์’ ซีอีโอยูนิลีเวอร์ ระบุว่า การปรับโครงสร้างใหม่กำลังพิจารณาทั้งองค์กร รวมทั้งทุกหน่วยธุรกิจในประเทศต่างๆ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าภูมิภาคใดจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากชูมัคเกอร์ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอเมื่อกลางปีที่แล้ว และวางแผนที่จะดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมาด้วยการลดความซับซ้อนของธุรกิจ หลังจากยอมรับว่ายูนิลีเวอร์ มีผลการดำเนินงานต่ำลงในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งโครงสร้างเดิมถูกวิจารณ์ว่ายูนิลีเวอร์ปล่อยให้พอร์ทโฟลิโอบริษัทมีมากถึง 400 แบรนด์ จนไม่ได้โฟกัสหรือสนใจไปในสินค้ากลุ่มที่มีศักยภาพเท่าที่ควร

โดยปลายปีที่แล้ว ซีอีโอยูนิลีเวอร์ ระบุว่า บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่แบรนด์สำคัญ 30 แบรนด์ คิดเป็น 70% ของยอดขาย ด้วยการดำเนินการปรับปรุงอัตรากำไรขั้นต้น และไม่ดำเนินการซื้อกิจการครั้งใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ