หลังยูนิลีเวอร์ประกาศเตรียมเลิกจ้าง พนักงาน 1 ใน 3 หุ้นบริษัทในลอนดอนไม่ได้รับผลกระทบ โดยปิดตลาดบวกเพิ่ม 0.6% รับข่าวปรับโครงสร้างใหม่เพื่อกระตุ้นการเติบโต
ตอนนี้ ‘ยูนิลีเวอร์’ หนึ่งในบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่สุดของโลก เจ้าของแบรนด์ในชีวิตประจำวันมากถึง 400 แบรนด์ กำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้ถือหุ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่ทางบริษัทแจ้งว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงานมากถึง 3,200 ตำแหน่ง ในยุโรปภายในสิ้นปีหน้า (2568) ทำให้ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รับกระแสข่าวนี้เชิงบวก ปิดตลาดเพิ่ม 0.6% ทันที (อยู่ที่ 44.31 ปอนด์)
ถ้าจำกันได้ช่วงต้นปี ซีอีโอของ ‘ยูนิลีเวอร์’ ตัดสินใจแก้เกมบริษัทที่มีผลดำเนินงานลดลง ประกาศสิ่งที่เรียกว่า “แผนประหยัดต้นทุน” เมื่อเดือนมีนาคม
ตามแผนใหญ่จะมีการเลิกจ้่างทั่วโลก 7,500 ตำแหน่ง หนึ่งในแผนสำคัญคือ แยกธุรกิจไอศกรีม ที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของยอดขายทั่วโลกออกจากบริษัทแม่ทันที (แบรนด์ไอสกรีมของยูนิลีเวอร์ที่เราคุ้นๆ อาทิ วอลล์ แมกนั่ม เบนแอนด์เจอร์รี่ส์ ฯลฯ)
ตอนน้ันที่มีข่าวนี้ออกมาก็ส่งผลให้หุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 6% เช่นกัน
นักวิเคราะห์มองในตอนนั้นว่าการแยกธุรกิจไอศคกรีมออกมาเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในเชิงกลยุทธ์ เพราะเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างผันผวนในด้านจุดยืนของอัตรากำไร ดังนั้นนักลงทุนและผู้ถือหุ้นจึงมีผลตอบรับในเชิงบวก เพราะเห็นว่ากลุ่มธุรกิจไอศกรีม เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจโดยรวมมาระยะหนึ่งแล้ว
ขณะเดียวกัน ตามแผนประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 800 ล้านยูโร หรือ 869 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นโครงการสำหรับ 3 ปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานประมาณ 7,500 ตำแหน่งทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานในสำนักงาน โดยคาดว่าจะมีต้นทุนการปรับโครงสร้างทั้งหมดที่ 1.2 % การปรับลดนี้จะส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 5.9 % จากพนักงานทั้งหมด 128,000 คน
‘ไฮน์ ชูมัคเกอร์’ ซีอีโอยูนิลีเวอร์ เคยบอกไว้เมื่อต้นปีว่า การปรับโครงสร้างใหม่กำลังพิจารณาทั้งองค์กร รวมทั้งทุกหน่วยธุรกิจในประเทศต่างๆ
ตอนนั้นเขายังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าภูมิภาคใดจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด แต่ดูเหมือนว่า ล่าสุดจะเริ่มเห็นแล้วว่า คำตอบชี้มาที่ยุโรป
การลดตำแหน่งงาน ตามแผนกระตุ้นการเติบโตให้กับบริษัท พุ่งไปที่ยุโรปเป็นจุดแรก ซึ่งตอนนี้มีพนักงาน 10,000- 11,000 คน
หัวหน้าฝ่าย HR ของ ยูนิลีเวอร์ คาดว่า ผลกระทบกับพนักงานประจำออฟฟิศในยุโรปที่จะถูกเลย์ออฟ น่าจะอยู่ที่ราว 3,000-3,200 คน โดยการตัดลดนี้จะไม่กระทบกับพนักงานส่วนงานผลิตในโรงงาน
ข่าวนี้ทำให้พนักงานของยูนิลีเวอร์บางส่วน แสดงความไม่พอใจออกมา โดยมีรายงานในสื่อไฟแนนเชียล ไทม์สว่า ผู้บริหารคนหนึ่งได้ตอบโต้กลับพนักงานที่แสดงความโกรธต่อข่าวการเลย์ออฟนี้ว่า พนักงานควรทุ่มเทพลังให้กับการทำงานให้บริการลูกค้าและผู้บริโภคแทนที่จะมัวหมกหมุ่นกับความไม่แน่นอนและความวิตกกังวล
แต่ตลกร้ายและความจริงในโลกทุนนิยมก็ตอกย้ำว่า ข่าวนี้ทำให้หุ้นของบริษัทปิดบวกขึ้นมาเล็กน้อยขานรับข่าวที่จะทำให้บริษัทเติบโตด้วยการปรับโครงสร้างลดคน
ซีอีโอของยูนิลีเวอร์วางแผนที่จะดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมาด้วยการลดความซับซ้อนของธุรกิจ หลังจากยอมรับว่าบริษัทมีผลการดำเนินงานต่ำลงในช่วงไม่กี่ปีมานี้
โครงสร้างองค์กรเดิมถูกวิจารณ์ว่า ยูนิลีเวอร์ปล่อยให้พอร์ทโฟลิโอบริษัทมีมากถึง 400 แบรนด์ จนไม่ได้โฟกัสหรือสนใจไปในสินค้ากลุ่มที่มีศักยภาพเท่าที่ควร
เลยมีข่าวว่าบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่แบรนด์สำคัญ 30 แบรนด์ ที่คิดเป็น 70% ของยอดขาย ด้วยการดำเนินการปรับปรุงอัตรากำไรขั้นต้น
ประธานสภาองค์กรแรงงานของยูนิลีเวอร์ประจำยุโรป ออกมาบอกว่าจะประสานกับฝ่ายบริหารเพื่อหาคำตอบ และหารือว่าการเลิกจ้างจะเกิดขึ้นที่ใดในยุโรป เพื่อกำหนดวิธีการลดการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด และหวังว่าพนักงานบางคนที่อาจถูกเลิกจ้าง จะได้ย้ายไปทำหน้าที่ใหม่ในธุรกิจไอศกรีม ที่เพิ่งถูกแยกบริษัทออกไป
“เราไม่สามารถปกป้องงานทุกงานได้ แต่เราต้องปกป้องทุกคน…นี่คือ การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่่ที่สุดที่เราเคยเห็นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างมาก”
ขณะที่โฆษกของยูนิลีเวอร์ บอกแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า รู้ดีถึงข้อวิตกกังวลอย่างมากและพร้อมที่จะสนับสนุนทุกคนในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้
ถือเป็นความเคลื่อนไหวของยักษ์ใหญ่ที่น่าสนใจ เพราะถ้าไปดูตอนนี้ จะเห็นว่าบริษัทส่วนใหญ่ในภาคส่วน ‘สินค้าอุปโภคบริโภค’ ต่างก็กำลังดำเนินโครงการ ‘ลดต้นทุน’