หุ้นไทยไม่แรลลี่หลังเลือกตั้ง กังวลนโยบายรัฐบาลใหม่กดดันกำไรบริษัทจดทะเบียน

ตลาดหุ้นไทยปิดลบ 20 จุดหลังเลือกตั้ง (15 พ.ค. 2566) จากผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็น ‘พรรคก้าวไกล’ ซึ่งจะได้เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เกิดความกังวลต่อนักลงทุน

ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายพรรค อาทิ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และการต่อต้านทุนผูกขาด ที่อาจเข้ามากดดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

เนื่องจากว่าสูตรการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ (ณ 21 พ.ค. 2566) พรรคก้าวไกลมีแผนจะร่วม 8 พรรคหลัก ซึ่งจะมีเสียงโหวตนายกเพียง 313 เสียง (ไม่รวมพรรคชาติพัฒนากล้าและพรรคใหม่ตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้)

อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามรัฐธรรมนูญแล้ว การที่จะสามารถโหวตผ่านนายกรัฐมนตรีได้ ต้องมีเสียงเกินครึ่งของในสภา หรือต้องได้เสียงสนับสนุน 376 เสียงขึ้นไป

นอกจากนี้ ในสภาประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวน 500 เสียง และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 เสียง รวม 750 เสียง

ซึ่งความไม่แน่นอนจากการที่ ‘ส.ว.’ อาจงดออกเสียง จำนวน 250 เสียงนี้ หรือ ‘ส.ส.’ จากพรรคฝ่ายค้าน อาจไม่โหวตผ่านนายกรีฐมนตรีให้กับฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล อาจไปสู่ประเด็นการติดหล่มทางการเมืองและการขาดเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลได้

นอกจากนี้ ด้วยนโยบายพรรคของก้าวไกลที่ต้องการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไปจนถึงการลดการผูกขาดของธุรกิจภายในประเทศ จึงเป็นมุมมองเชิงลบที่จะกระทบต่อบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศ

จึงทำให้หุ้นที่มีผลกระทบต่อปัจจัยดังกล่าวปรับตัวลง ไม่ว่าจะเป็น STEC 24.18% TRUE -16.99% GULF -9.52% CPALL -7.14% INTUCH -6.43% หรือ ADVANC -4.98% ฯลฯ (ตั้งแต่หลังเลือกตั้งถึงปัจจุบัน)

ไม่เพียงเท่านี้ พรรคก้าวไกลยังมีนโยบายอย่างการทำรถเมล์ไฟฟ้าทั่วประเทศไทย จึงเกิดมุมมองเชิงลบต่อหุ้นอย่าง BEM ที่ปิดลบไปราว -7.78% 

หรือนโยบายการปรับลดค่าไฟที่เป็นธรรมที่ทางพรรคก้าวไกลต้องการให้ต้นทุนหลักของโรงไฟฟ้าอย่างแก๊สธรรมชาติอยู่ภายใต้ต้นทุนเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมีแผนการแก้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต ที่อาจทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้าทำกำไรได้น้อยลงในอนาคต ส่งผลให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงเช่นกัน เช่น GULF -9.52% GPSC -6.37% BGRIM -6.33% และ EA -4.44% (ตั้งแต่หลังเลือกตั้งถึงปัจจุบันเช่นกัน)

ในทางกลับกัน นโยบายของพรรคก้าวไกลก็มีการกล่าวถึงสวัสดิการทุกช่วงวัยมากขึ้นและครอบคลุมขึ้น ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น ก็เป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการใช้จ่ายในประเทศ ทำให้กลุ่มค้าปลีกมีทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต เป็นต้น