วิกฤติน้ำเสีย ! ปลากระชังอ่างกระเสียวตายนับร้อยตัน เสียหายร่วมสิบล้านบาท

ปลากระชังอ่างกระเสียวตายนับร้อยตัน เสียหายนับสิบล้าน เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาหลายรายสิ้นเนื้อประดาตัว จนท.เผยสาเหตุเบื้องต้นน้ำเสีย ขณะผู้รับซื้อ ซื้อปลาตายไปในกิโลกรัมละ 3-4 บาท

วันที่ 25 ต.ค. 61 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ที่อ่างเก็บน้ำกระเสียว หมู่ 17 ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี มีปลาทับทิม ปลานิล ที่เลี้ยงในกระชังตายเป็นจำนวนมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบผู้ประกอบการเลี้ยงปลากระชังกำลังขนย้ายปลาที่ตายอยู่เป็นจำนวนมาก ขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อ เพื่อนำไปทำปลาป่นอาหารสัตว์

นายสิทธิศักดิ์ แย้มพรายภิรมย์ นายอำเภอด่านช้าง ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล ปลาทับทิม ในกระชัง จำนวน 60 – 70 ราย ที่เลี้ยงปลาจำนวน 1,400 กระชัง ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากปลาที่เลี้ยงไว้ได้น็อกน้ำตาย เบื้องต้นตรวจสอบพบว่า ปลาตายไปแล้วกว่า 300 ตัน หลังเกิดวิกฤติปลาตาย ได้ประสานไปยังสำนักงานประมงจังหวัด ชลประทานจังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หน่วยป้องกันและปราบปรามน้ำจืดเขื่อนกระเสียวสุพรรณบุรี อบต.ด่านช้าง เกษตรอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ ฯลฯ เข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

โดยส่วนแรกให้แยกปลาที่ตายแล้วขึ้นมาจากน้ำให้เร็วที่สุด ส่วนปลาที่ตายมาหลายวันแล้วไม่สามารถขายต่อไปยังผู้รับซื้อได้ ให้นำไปฝังกลบแล้วนำจุลลินทรีย์อีเอ็มราดทับ เพื่อไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็น สร้างมลภาวะให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ทั้งให้เร่งตรวจสอบสภาพน้ำและค่าออกซิเจน ประเมินความเสียหาย เพื่อประชุมสรุปและเร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาต่อไป

นายเดชา รอดระรัง ประมงจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวเพิ่มเติมถึงสาเหตุการตายของปลาในกระชังว่า สาเหตุที่ปลาตายเป็นจำนวนมากในเบื้องต้นพบว่า เกิดจากค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) คือ ปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ เป็นปริมาณของออกซิเจนที่ถูกใช้โดยจุลินทรีย์ในกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำ ค่าบีโอดี หรือ Biochemical Oxygen Demand (BOD) คือ ปริมาณของออกซิเจนที่ถูกใช้โดยจุลินทรีย์ ในกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำ

ในส่วนของปลาที่ตายในอ่างเก็บน้ำกระเสียวแห่งนี้ เมื่อวัดในน้ำหลังเกิดเหตุการณ์ปลาตายนับร้อยตัน มีค่าออกซิเจนต่ำมาก เพียง 0.03 BOD เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่าออกซิเจนในน้ำมาก สัตว์น้ำไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากโดยปกติสัตว์ในน้ำต้องการค่าออกซิเจนไม่ต่ำกว่า 3.00 BOD

ส่วนสาเหตุการตายของปลาเหล่านี้เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ มีของเสียที่เกิดจากการเลี้ยงปลาเป็นเวลานานของเกษตรกรสะสมกัน ทำให้น้ำเสีย การเลี้ยงปลาใกล้กันอย่างหนาแน่น จนทำให้ออกซิเจนในน้ำน้อยมาก ส่วนค่าเสียหายเบื้องต้น จากเหตุการณ์น้ำเสียปลาตายครั้งนี้ประมาณ 15 – 20 ล้านบาท

ด้านชาวบ้านที่ใช้น้ำประปาฝนเขต อ.ด่านช้าง หวั่นเกรงว่าสถานการณ์ขณะนี้หลังเขื่อนน้ำลดลงเป็นจำนวนมาก อาจเป็นสาเหตุส่งผลทำให้ปลาตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังเกิดความสงสัยว่า น้ำในเขื่อนที่ลดลงไปนี้จะส่งผลกระทบกับน้ำประปาที่ใช้อยู่กันหรือไม่ เนื่องจากน้ำประปาที่ใช้อยู่ต้องใช้น้ำดิบในเขื่อนกระเสียวมาผลิตเป็นน้ำประปา

นายอุดมพร ผาสุก ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษากระเสียว กล่าวถึงความจุปริมาณของน้ำในเขื่อนกระเสียวว่า สามารถรองรับน้ำได้ 299 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้มีปริมาณน้ำเหลืออยู่ในอ่าง 114 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น คิดเป็น 38% ล่าสุดได้ให้เกษตรกรงดปลูกพืชในฤดูแล้ง และจากสถานการณ์ปลาตายในอ่างเก็บน้ำกระเสียว ไม่ส่งผลกระทบกับการใช้น้ำประปาแต่อย่างใด ขอให้ชาวบ้านไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ด้าน นางสมถวิล ทองมาเอง อายุ 54 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังรายหนึ่ง กล่าวว่า เกษตรกรมีต้นทุนในการเลี้ยงปลาในกระชังประมาณ 60 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม จะสามารถขายส่งได้กิโลกรัมละ 65-70 บาท ซึ่งเกษตรกรจะมีกำไร 5-10 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น จากเหตุการณ์น้ำเสียในครั้งนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2558 แต่ไม่รุนแรงขนาดนี้ ผลกระทบในครั้งนี้มีเกษตรกรหลายรายที่เลี้ยงปลาจำนวนมากถึงกับต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จึงวอนผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบหาสาเหตุเพื่อให้การช่วยเหลือด้วย

นายปิยะพงษ์ สุขรินทร์ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7 หมู่ 7 ต.บางปลา อ.บางเลน จ.นครปฐม เจ้าของแพปลา และเป็นพ่อค้ารับซื้อและขายปลา เผยว่า หลังทราบข่าวว่ามีปลาตายนับร้อยตัน จึงได้เข้ามาซื้อปลาที่ตาย เพื่อนำไปส่งให้โรงงานทำปลาป่นนำไปเป็นอาหารสัตว์ ใน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี โดยนำรถปิกอัปมา 3 คัน แต่ละคันสามารถบรรจุได้คันละ 3 ตัน ตนได้สั่งให้คนงานขับรถมาเพิ่มอีก 2 คัน ซึ่งจะสามารถขนปลาที่ตายไปได้รวม 9 ตัน ปกติหากปลาไม่ตายจะซื้อปลาราคา 80 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม แต่ขณะนี้ตนมาซื้อปลาที่ตายเพื่อช่วยเพื่อนเกษตรกรที่ค้าขายกันมาในราคากิโลกรัมละ 3 – 4 บาท เท่านั้น