Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

หนึ่งในข่าวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนฉ่าในต่างประเทศตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของหายนะที่กำลังเกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงเบอร์ต้นๆ ของโลกอย่าง Spotify

ที่ศิลปินร็อกระดับตำนานอย่าง Neil Young ประกาศถอดเพลงออกจากแพลตฟอร์ม ผู้ใช้หลายคนก่นด่าและลบแอปทิ้ง มีการประมาณการว่ามูลค่าบริษัทตามราคาตลาดลดลงกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 1.3 แสนล้านบาท ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน

เกิดอะไรขึ้นกับ Spotify กันแน่ TODAY Bizview สรุปมาให้อ่านกันใน 21 ข้อ

1) หลายคนรู้จักแอป Spotify กันดีอยู่แล้ว แอปสตรีมมิ่งเพลงที่เริ่มให้บริการมาตั้งแต่กว่า 10 ปีที่แล้ว ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ว่าผู้ฟังสามารถทิ้งแผ่นซีดีและการดาวน์โหลดไปได้เลย เพราะจะสามารถฟังเพลงแทบทุกเพลงที่เคยเผยแพร่บนโลกได้ที่นี่

ซึ่ง Spotify ก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม มีสมาชิกแบบเสียเงินกว่า 172 ล้านคนทั่วโลก เป็นแพลตฟอร์มที่มีอำนาจสูงสุดในธุรกิจเพลง และแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Apple Music, Amazon Music และ Tidal และที่สำคัญคือช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมฟังเพลงอย่างปฏิเสธไม่ได้

2) Spotify ยังคงเป็นบริการสตรีมเพลงรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มโปรดักต์ใหม่ลงในพอร์ตของตัวเอง นั่นก็คือ ‘พอดแคสต์’ ทำให้ Spotify มีทั้งบริการเพลง, ช่องคอนเทนต์และข่าว และช่องทางที่ให้คนมาพูดคุยกันได้

3) ซึ่งหนึ่งในรายการพอดแคสต์ที่ Spotify ลงทุน ก็คือในปี 2020 บริษัททุ่มเม็ดเงิน 100 ล้านเหรียญ (ราว 3.3 หมื่นล้านบาท) ซื้อลิขสิทธิ์รายการพอดแคสต์ The Joe Rogan Experience ที่มีพิธีกรชื่อดังอย่าง Joe Rogan ดำเนินรายการ

โดยรายการพอดแคสต์ดังกล่าวนั้นมีการเชิญแขกมากหน้าหลายตามาพูดคุยแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ซึ่งเป็นรายการที่โด่งดังมากในสหรัฐฯ

ประมาณการว่ามียอดดาวน์โหลดว่า 200 ล้านครั้ง/เดือน และบน Spotify ก็มีผู้ฟังเป็นจำนวนมากถึง 11 ล้านคน/ตอนเลยทีเดียว

4) เรตติ้งดีแสนดีนั้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามาจากการที่รายการมักจะเชิญแขกที่ ‘ล่อเป้า’ มาออกรายการ แต่ถึงอย่างนั้น ประเด็นแห่งความหายนะในครั้งนี้อยู่ที่รายการดังกล่าวให้ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 หลายครั้งหลายครา

ไม่ว่าจะเป็น การบอกว่าวัคซีนโควิดจะมาเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของยีนหรือ DNA ในร่างกายเรา

หรือตอนร่วมจัดรายการกับศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา Bret Weinstein เมื่อปีที่แล้ว ก็ยกย่องว่ายา Ivermectin ซึ่งใช้ฆ่าพยาธิในสัตว์และมนุษย์ ใช้รักษาโควิดได้

รวมถึงยังแนะนำคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดีว่าไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิดอีกต่างหาก

5) ข้อมูลผิดๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงกลางเดือน ม.ค. 2565 บรรดาแพทย์, นักวิทยาศาสตร์, อาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในสหรัฐอเมริกา รวมกว่า 270 คน ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง Spotify เพื่อแสดงถึงความกังวลเรื่องข้อมูลทางการแพทย์ที่ผิดๆ บนรายการดังกล่าว แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จาก Spotify

6) ไม่ใช่แค่คนในวงการแพทย์ แต่ Neil Young นักร้องและนักแต่งเพลงวัย 76 ปี ก็ทนไม่ไหวต่อข้อมูลผิดๆ ของรายการดังกล่าวเหมือนกัน จนเจ้าตัวโพสต์จดหมายบนเว็บไซต์ของตัวเองเมื่อวันที่ 24 ม.ค. จ่าหน้าถึงผู้จัดการและผู้บริหารค่ายเพลง เรียกร้องให้ลบเพลงของเขาออกจาก Spotify เพื่อตอบโต้เรื่องการให้ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน

“ผมต้องการให้คุณแจ้ง Spotify ทราบทันทีว่าผมต้องการให้ลบเพลงทั้งหมดของผมออก”

“Spotify จะมี Rogan หรือ Young ก็ได้ แต่ไม่ใช่มีทั้งสองอย่าง” ศิลปินรุ่นเก๋าระบุ

Neil Young

7) สองวันต่อมา โดยที่ยังไม่มีการตอบโต้ใดๆ จาก Rogan แพลตฟอร์มสตรีมเพลง Spotify ก็เริ่มกระบวนการลบเพลงของร็อกเกอร์ชื่อดังออก ซึ่งรวมถึงเพลงฮิตที่โด่งดังที่สุดของเขา เช่น Heart of Gold, Harvest Moon และ Rockin’ in the Free World ด้วย

8) แม้ผลกระทบจากการถอดเพลงของศิลปินดังออกจะยังไม่ชัดเจน แต่มีการประเมินว่ามูลค่าบริษัทตามราคาตลาดของ Spotify ลดลงราว 4 พันล้านเหรียญในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาหุ้น Spotify ตอนปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ม.ค. ร่วงลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าถึง 12%

9) ไม่เพียงเท่านั้น แต่ในสังคมออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ก็เกิดกระแสติดแฮชแท็ก #DeleteSpotify และ #CancelSpotify นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์จำนวนมากที่แนะนำการลบแอปออกจากมือถือ และแนะนำช่องทางฟังเพลงของ Young ในแพลตฟอร์มอื่น

10) สิ่งที่ Young ทำเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างที่หายาก เพราะเป็นศิลปินที่หาญกล้าออกมาทำในสิ่งที่จะกระทบต่อรายได้ของตัวเอง เพื่อตอบโต้ต่อเรื่องการให้ข้อมูลผิด และการไม่ยอมจัดการเรื่องนี้ของแพลตฟอร์ม

โดย Young บอกว่ารายได้ราว 60% ของเขามาจากการสตรีมเพลงบน Spotify

11) ฝันร้ายของ Spotify ยังไม่จบง่ายๆ เมื่อศิลปินรายอื่นๆ ต่างตบเท้าประกาศถอดเพลงออกจาก Spotify ตามกันมาเป็นแถว ทั้ง Joni Mitchell, นักร้อง R&B อย่าง India.Arie, นักดนตรีที่เคยร่วมงานกับ Young อย่าง Nils Lofgren และล่าสุดคือ Graham Nash

มากไปกว่านั้น พิธีกรรายการ Science Vs ซึ่งเป็นพอดแคสต์อีกรายการหนึ่งบน Spotify ยังออกมาบอกอีกว่าจะไม่เผยแพร่พอดแคสต์ใดๆ เพิ่มเติม จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติมจากบริษัท

12) ด้านคู่แข่งคนสำคัญของ Spotify อย่าง Apple ก็เป็นเสือปืนไว รีบทำการตลาดอย่างรวดเร็วด้วยการประกาศว่า Apple กำลังเป็น “บ้านของ Neil Young”

13) ท้ายที่สุด Spotify เองก็ทนแรงกดดันไม่ไหว โดย Daniel Ek ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ออกมาระบุว่า Spotify มีข้อกำหนดเรื่องเนื้อหาผิดกฎหมาย-ข่าวปลอมที่ใช้เป็นการภายในอยู่แล้ว แต่ไม่เคยนำมาประกาศให้คนนอกทราบ ล่าสุดบริษัทได้เผยแพร่กฎดังกล่าวบนเว็บไซต์แล้ว

นอกจากนี้คือจะเพิ่มคำแนะนำด้านเนื้อหา (content advisory) ในรายการพอดแคสต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการระบาดโควิด

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีการพูดถึงรายการของ Joe Rogan และไม่ได้ระบุว่าจะมีมาตรการอย่างไรกับรายการตอนที่มีปัญหา

14) ส่วน Joe Rogan ออกมาโพสต์วิดีโอความยาวเกือบ 10 นาที เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยบอกขอโทษ Spotify และให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำรายการให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบาลานซ์เนื้อหาและแขกให้มีมุมมองจากทั้ง 2 ฝั่ง

รวมถึงจะพยายามค้นหาข้อมูลในประเด็นต่างๆ ที่จะนำมาออกรายการอย่างเต็มที่ และมีข้อเท็จจริงทั้งหมดอยู่ในมือ ก่อนที่จะหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาพูดคุย

15) สิ่งที่หลายคนคำสงสัยก็คือ ทำไมบริษัทสัญชาติสวีเดน Spotify ถึงไม่จัดการอะไรกับรายการ Joe Rogan สักนิด และเพิ่งจะมาประกาศเรื่องนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องโควิด ทั้งที่แพลตฟอร์มอื่นอย่างทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, ยูทูบ ประกาศเรื่องนี้กันมาตั้งนานแล้ว

16) นักวิเคราะห์ประเมินว่าสาเหตุเป็นเพราะที่ผ่านมา Spotify ทุ่มทุนไปกับพอดแคสต์มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการกว้านซื้อบริษัทพอดแคสต์ต่างๆ ที่กำลังเติบโต ซื้อรายการพอดแคสต์ยอดนิยมมาไว้บนแพลตฟอร์มของตัวเอง และแน่นอนว่ารวมถึงรายการ Joe Rogan Experience ด้วย

17) ซึ่งการที่ Spotify หันไปทุ่มทุนให้กับพอดแคสต์มากกว่า เป็นเพราะการสตรีมเพลง Spotify จะเสียเงินราว 70% ของรายได้ออกไปทันทีเพื่อเป็นค่าลิขสิทธิ์ ทำให้บริษัทต้องมองหาธุรกิจอื่นที่หักส่วนแบ่งรายได้ออกไปไม่มากนัก และพอดแคสต์ก็คือคำตอบ

18) เรียกได้ว่าถ้าพอดแคสต์เป็นเดิมพันเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ที่สุดของ Spotify แล้ว Joe Rogan ก็เป็นเค้กชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในนั้น นั่นทำให้บริษัทเสีย Rogan ไปไม่ได้

19) นักวิเคราะห์ยังชี้อีกว่า การสูญเสียศิลปินไป ไม่ได้แปลว่าจะสูญเสียแฟนๆ ของศิลปินคนนั้นไปทั้งหมด เพราะผู้ฟังก็ยังฟังผลงานของศิลปินคนอื่นๆ ได้ แต่การสูญเสีย Rogan ไป ผู้ฟังรายการ Rogan ก็ไม่น่าจะไปฟังรายการอื่นบน แม้คนนั้นจะเป็น Michelle Obama ก็ตาม

20) แต่ท้ายที่สุดคำถามก็คือ หากศิลปินที่ทรงอิทธิพลและมีผู้ติดตามเยอะ เช่น Adele (คนฟัง 60 ล้านคน/เดือน), Taylor Swift (คนฟัง 54 ล้านคน/เดือน) หรือ BTS (คนฟัง 42.3 ล้านคน/เดือน) ออกมาเรียกร้องเรื่องการจัดการ Fake News แบบที่ Young ทำ Spotify จะเลือกทำในแบบที่ทำไปล่าสุดหรือไม่

21) แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ภาพลักษณ์ของ Spotify ในประเด็นการให้ความสำคัญระหว่าง ‘เม็ดเงิน’ กับ ‘จริยธรรมสื่อ’ คงติดเป็นคำถามที่ค้างคาใจของคนทั่วโลกแล้วแน่นอน

อ้างอิง:

https://www.nytimes.com/2022/02/01/arts/music/spotify-rogan-neil-young.html

https://www.washingtonpost.com/arts-entertainment/2022/01/28/spotify-joe-rogan-neil-young/

https://www.theguardian.com/technology/2022/jan/14/spotify-joe-rogan-podcast-open-letter

https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-60192957

https://www.bbc.com/news/60199614

https://datebook.sfchronicle.com/music/spotify-loses-4-billion-in-market-value-following-neil-young-controversy

https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-02-01/spotify-exodus-grows-as-graham-nash-signals-music-withdrawal?utm_medium=social&utm_campaign=socialflow-organic&utm_source=facebook&utm_content=business&cmpid=socialflow-facebook-business&fbclid=IwAR0CpIQy7ckqwmhGliwGYzmj5nQ9pmaCbieYGU7WU_A8V5-uGn3Z5tGB-nU&sref=LQZclhPm

https://www.theverge.com/2022/1/31/22910039/joe-rogan-response-neil-young-joni-mitchell-spotify

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า