หากนับเวลาก็ครบ 10 วันพอดี ที่พระจำนงค์ หรือ อดีตพระพรหมเมธี ได้หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถูกกดดันหนักจากชุดสืบสวน และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง
กว่า 1 สัปดาห์ ที่มีกระแสข่าวว่า พระจำนงค์หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยผู้ที่พาหลบหนีได้นำรถยนต์ไปจอดไว้ในวัดป่าสุคันธรักษ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ต่อมาได้รับการยืนยันจากลูกศิษย์หญิงที่ถูกควบคุมตัวว่า พระจำนงค์ ได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ขณะที่ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมชุดสืบสวน ได้ลงพื้นที่ติดตามจับกุมพระจำนงค์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม ที่จังหวัดนครพนม ก่อนจะเดินทางมาพักในจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 มิถุนายน พร้อมกับกระแสข่าวว่า พระจำนงค์ได้หลบหนีคดีอยู่ในเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศเวียดนาม และกัมพูชาทางลาวตอนใต้
นอกจากนี้ ยังได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามหาตัวพระจำนงค์ และประชุมร่วมกับชุดสืบสวน กองปราบปราม พร้อมชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และกองบัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายในห้องประชุมโดมน้อย เขื่อนสิรินธร อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
พร้อมส่งชุดสืบสวนทำเรื่องผ่านแดนเข้าไปติดตามหาตัวพระจำนงค์ ที่เมืองปากเซ โดยมี พลตำรวจโท ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เดินทางไปที่ด่านพรมแดนสากลไทย-ลาว ช่องเม็ก ด้วย แต่ก็ยังไม่พบตัวพระจำนงค์ ก่อนที่ในช่วงบ่ายวานนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
ต่อมามีรายงานข่าวแจ้งว่า อดีตพระพรหมเมธี ได้หลบหนีไปยังประเทศเยอรมนี โดยรายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เหตุที่อดีตพระพรหมเมธีเดินทางเข้าประเทศเยอรมนี และพยายามขอสิทธิ์เป็นผู้ลี้ภัยให้ได้ เนื่องจากรู้ตัวว่ากระทำผิดร้ายแรง ซึ่งไม่ใช่แค่คดีทุจริตเงินทอนวัดเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องสีกาใกล้ชิดที่อยู่กินฉันสามี – ภรรยา ทั้งยังพาออกงานใหญ่ร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องเสื่อมเสียร้ายแรง และคงรู้ตัวว่าจะต้องถูกลงโทษหนัก