พาณิชย์ใช้ ม.30 สั่งยกเลิกคำขอจดสิทธิบัตรกัญชา

‘สนธิรัตน์’ ใช้ ม.30 พ.ร.บ.สิทธิบัตร ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญายกเลิกคำขอจดสิทธิบัตรกัญชา

วันที่ 20 พ.ย. 2561 วานนี้นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้พิจารณาคำขอสิทธิบัตรพืชกัญชามาอย่างต่อเนื่องตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหาช่องทางในการดำเนินการให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรตามที่หลายฝ่ายท้วงติง ล่าสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สารสกัดจากกัญชาเป็นสารสกัดจากพืช และมาตรา 9 ของ พ.ร.บ.สิทธิบัตร กำหนดไว้ว่าไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ จึงใช้อำนาจตามมาตรา 30 พิจารณายกเลิกคำขอดังกล่าว

นายสนธิรัตน์ ระบุว่า มีคำขอที่ยื่นจดสิทธิบัตรสารสกัดจากกัญชาเพียงคำขอเดียวจากทั้งหมด 11 คำขอ โดยสั่งการให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาไปดำเนินการตามกฎหมายอย่างรอบคอบ คาดว่าแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ดังนั้นจึงถือว่าปัญหาคำขอจดสิทธิบัตรกัญชาที่หลายฝ่ายกังวลได้ข้อยุติแล้ว ทั้งนี้ในจำนวนคำขอจดสิทธิบัตรทั้ง 11 คำขอ ได้ละทิ้งไป 2 คำขอ ส่วนอีก 8 คำขอไม่ใช่สารสกัดจากกัญชา แต่เป็นคำขอที่มีการใช้สารสกัดจากกัญชาเป็นองค์ประกอบ ซึ่งก็ดำเนินการได้ต่อตามกฎหมาย

ด้านนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เห็นว่า คำสั่งยกเลิกคำขอเพียงแค่ 1 คำขอยังไม่เพียงพอ เพราะถือว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญายังละเลยต่อกฎหมายของตัวเอง อีกทั้งยังเหลืออีก 8 คำขอที่อยากให้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งหากมีรายละเอียดเกี่ยวข้องกับกัญชาก็ควรยกเลิกคำขอด้วยเช่นกัน

และเภสัชกรอนันต์ชัย อัศวเมฆิณ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความเห็นถึงแนวทางหลังมีการคลายล็อคกฎหมายกัญชาแล้ว ซึ่งคาดว่ากฎหมายจะเข้า สนช.ภายในสัปดาห์นี้ โดยระบุว่า สิ่งที่ต้องทำคือระบบควบคุมดูแลการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิที่จะนำกัญชามาใช้ได้เองด้วย โดยไม่จำกัดว่าต้องมีการผูกขาดจากหน่วยงานราชการ เช่น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และควรกำหนดให้เกษตรรายย่อยและรายใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตภายใต้ระบบการควบคุมดูแลเหมือนในต่างประเทศ คาดว่ากฎหมายจะเข้า สนช.ภายในสัปดาห์นี้ โดยระบุว่า สิ่งที่ต้องทำคือระบบควบคุมดูแลการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิที่จะนำกัญชามาใช้ได้เองด้วยโดยไม่จำกัดว่าต้องมีการผูกขาดจากหน่วยงานราชการ เช่น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และควรกำหนดให้เกษตรรายย่อยและรายใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตภายใต้ระบบการควบคุมดูแลเหมือนในต่างประเทศ