2 ปี ‘สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต’ ฝ่าวิกฤตมาได้ แต่ยังมีโจทย์ท้าทาย

เป็นเวลาครบ 2 ปีแล้วที่ ‘สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต’ ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่ตั้งใจให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าลักชัวรีใกล้สนามบินให้กับนักท่องเที่ยว

วันนั้นแม้จะมีโควิดระบาดแล้ว แต่สถานการณ์ในไทยที่ยังไม่รุนแรงมาก ทำให้สยามพิวรรธน์ตัดสินใจเปิดตัวเอาท์เล็ตแห่งนี้ ซึ่งผลตอบรับก็ดีเกินคาด

ในช่วงแรกของการเปิดตัวใหม่ๆ หรือที่เรียกว่า “ช่วงฮันนีมูน” แม้ประเทศไทยไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ลานจอดรถเต็ม คนแน่น ทราฟิกพุ่งทะลุไปถึง 30,000 คน

และหลังจากช่วงนั้นแม้จะไม่ได้ทราฟิกพุ่งขนาดนั้น แต่ ‘ไมเคิล ถัง’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด ผู้ดูแลโครงการนี้ ก็บอกว่าปีนั้นเรียกว่า “ยังพอไปได้”

วิกฤตจริงๆ ของสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ มาเริ่มในปี 2564 จากการประกาศปิดๆ เปิดๆ ล็อกดาวน์ ซึ่งกระทบหลายธุรกิจรวมไปถึงที่นี่ด้วย

รวมไปถึงปัญหากำลังซื้อ ที่ผู้บริโภครัดเข็มขัด กังวลเรื่องรายจ่าย ซื้อแต่ของจำเป็น

พรีเมียมเอาท์เล็ตในย่านชานเมืองจึงอาจยังไม่ใช่คำตอบที่คนจะไปเดินเลือกซื้อของสักเท่าไหร่

ไมเคิล ถัง

สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพเองก็พยายามดิ้นรนอยู่รอด และช่วยเหลือแบรนด์ต่างๆ ในนั้นให้อยู่รอดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องของค่าเช่า

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีส่วนที่ไปไม่ไหว ซึ่งก็คือส่วน ‘ฟู้ดฮอลล์’ ที่ปิดให้บริการตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และส่งผลให้พื้นที่ให้บริการลดลงเหลือ 90% จากเดิมที่อยู่ที่ราวๆ 95%

แต่ก็ใช่ว่าจะแย่ไปหมดทั้งปีเสียทีเดียว

ไมเคิลบอกว่า ตั้งแต่ ก.ย. ปีที่แล้ว การใช้สอยของลูกค้าดีขึ้นมาก รายได้ก็ขยับดีขึ้นมาก

ม.ค. ดีขึ้นเกือบๆ เท่าปีแรก และที่น่าสนใจก็คือช่วงสงกรานต์ดีขึ้นกว่า ม.ค.เสียอีก

ไมเคิลบอกว่าสาเหตุหลักๆ มาจากการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อภายในประเทศ

โดยสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต มีลูกค้าคนไทยเป็นกลุ่มหลักคือ 80% และต่างชาติ 20%

อีกส่วนมาจากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล ที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะในเดือน พ.ค. ที่หลังจากเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ปรากฏว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมาช้อปปิ้งที่ศูนย์เพิ่มขึ้น 80% จากเดือนก่อนหน้า และส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง

โดยกลุ่มหลักๆ ได้แก่ อินเดีย ตะวันออกกลาง และสิงคโปร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่รัฐบาลของประเทศนั้นๆ ผ่อนคลายในเรื่องการเดินทางมากขึ้น

นั่นทำให้ในครึ่งปีหลังนี้ กลยุทธ์ของสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ก็คือมุ่งเจาะไปที่ทัวริสต์ต่างชาติด้วยเช่นกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มีสัดส่วนเป็น 40% ให้ได้

แล้วถามว่าสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต จะทำอะไรบ้างเพื่อดึงลูกค้าต่างชาติ ลองมาดูกัน

-จับมือกับ Trip.com ให้บริการจอง Shuttle Bus ผ่านระบบของ Trip.com ได้

-ร่วมกับบัตรเครดิต Visa ออกโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรต่างชาติ

-สร้าง awareness เชิญชวนนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ

ไม่เพียงเท่านั้น แต่สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ยังดึงแบรนด์ต่างๆ ใหม่ๆ เข้ามาให้บริการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Michael Kors ซึ่งเป็น Outlet Concept ที่ใหญ่ที่สุดในไทย, Bath & Body Works, ร้านขายนาฬิกาหลากหลายแบรนด์อย่าง Swiss Watch

ร้าน Mossimo แบรนด์แฟชั่นแนวสตรีท, Wish & Co. คาเฟ่ที่มีสินค้าลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ เช่น ดิสนีย์ จำหน่าย, Komfy แบรนด์ที่นอนพรีเมียม, Origani แบรนด์บริการความงามและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว, Rebecca Minkoff ร้านแฟชั่นดีไซเนอร์จากอเมริกา

และในไตรมาส 3 ก็จะมีแบรนด์ลักชัวรีจากอิตาลีอย่าง Versace มาเปิดด้วย และจะเป็นการเปิดเอาท์เล็ตแห่งแรกในไทยของแบรนด์

นอกจากนี้ยังอัดโปรโมชั่นมากมายในช่วงกลางปีนี้ เพื่อปลุกมู้ดจับจ่ายให้กลับมาอีกครั้ง

แม้จะดูมีทิศทางและแนวโน้มที่ดี แต่เรียกได้ว่าปีนี้สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ก็ยังมีความท้าทายใหญ่ที่ต้องจับตา

ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจไทยและโลก ภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่จะเดินมาไทย และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา

รวมไปถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เกินการควบคุม ที่นอกจากจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน ก็อาจกระทบกับธุรกิจต่างๆ รวมถึงสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ตเองด้วย…