SHARE

คัดลอกแล้ว

รู้จัก Repair Café ที่ไม่ใช่ร้านกาแฟ แต่เปิดพื้นที่ให้คนเอาของมา ‘ซ่อม’ กัน

การปะผ้าแบบไร้ร่องรอย ให้เหมือนกับไม่เคยฉีกขาดมาก่อน Kaketsugi หรือ คาเกะสึกิ คือ เทคนิคซ่อมผ้าของซามูไรแบบไร้รอยเย็บ ไร้ตะเข็บว่าเคยขาย มีประวัติยาวนานกว่า 1,000 ปี ของญี่ปุ่น เทคนิคนี้จะเอาผ้าที่คล้ายกับผ้าเดิมมาแปะเย็บทับลงไป ก่อนที่จะอาศัยความอดทนและเวลา ประณีตเย็บให้เนื้อผ้าประสานเหมือนผืนเดียวกันให้มากที่สุด

ลวดลายที่ซับซ้อนจะเป็นตัวกำหนดความยาก เช่นเดียวกับขนาดรอยขาดที่เป็นตัวกำหนดเวลาของการซ่อมผ้าผืนนี้ ‘คาเกะสึกิ’ หากมองแค่วิธีการ ก็อาจเป็นได้เพียงแค่เทคนิคการซ่อมผ้าที่มีประวัติยาวนาน แต่หากมองย้อนประวัติศาสตร์ไปพร้อมกับบริบทยุคสมัยนั้น เราอาจเห็นความหมายการมีอยู่ของ ‘คาเกะสึกิ’ ได้ลึกซึ้งขึ้น

คาเกะสึกิ ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าทำไมวิธีการซ่อมถึงเป็นการแปะผ้าชิ้นเล็กๆ เนื้อคล้ายกันลงบนผ้าเดิม แต่หากเชื่อมโยงเอาจากสิ่งที่ผู้เขียนมองเห็น คงเป็นเรื่องของทรัพยากรที่หาได้ยาก

หากย้อนไทมไลน์ไปยังจุดกำเนิดของ คาเกะสึกิ หรือช่วงประมาณ 1,000 ปีก่อน การได้มาซึ่งผ้าหนึ่งผืนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเหมือนเทียบกับการได้มาซึ่งผ้าหนึ่งผืนในยุคปัจจุบัน อย่างเช่น ผ้าไหม ต้องผ่านกระบวนการตั้งแต่ ปลูกหมอน เลี้ยงไหม สาวใย ย้อม ทอ ตัด เย็บ การฉีกขาดเพียงรูหนึ่งคงง่ายกว่าถ้าซ่อมผ้าแบบคาเกะสึกิ ที่หากเป็นปัจจุบันที่ฉีกขาดรูหนึ่งนั้นง่ายกว่า ถ้าเราจะซื้อใหม่จะได้ไม่ต้องซ่อม ความหมายของ คาเกะสึกิ จึงไม่ใช่แค่การซ่อมผ้าแบบเนี๊ยบสุด ไร้ร่องรอย แต่เป็นตัวแทนของความหมายการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุดด้วยในอีกทางหนึ่ง

แต่ในปัจจุบันถ้าถามว่า เสื้อผ้าขาดรูเดียว เราเลือกจะใส่ต่อ หรือว่าทิ้ง

รองเท้าที่ปลายนิ้วถลอก เรายังใส่อยู่ไหม ของใช้ที่มีบางส่วนแตกหักเราเลือกที่จะเปลี่ยนใหม่คุ้มกว่า หรือพยายามหาที่ซ่อม แต่ไม่ว่าจะท่ามกลางทางเลือกไหน เราอยากชวนทุกคนมองมาที่การซ่อม หรือ ทำให้ของสิ่งนั้นกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง เพราะมากกว่าแค่ประหยัดทรัพยากร ในหลายมุมของประเทศก็เป็นการพาผู้คนให้กลับมาเป็นคอมมูนิตี้กันอีกครั้ง ผ่าน ‘Repair Café’

Repair Café เริ่มต้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี 2009 โดย Martine Postma นักสิ่งแวดล้อมและอดีตนักข่าวชาวดัตช์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจหลังจากที่ดูรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการผลิตที่ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย นำมาสู่การตั้งคำถามในหัวของเธอว่า “แล้วถ้าทุกคนหันมาซ่อมของที่เสีย แทนที่จะทิ้ง” จะมีอะไรเปลี่ยน?

ทำให้ Repair Café เริ่มต้นขึ้นจากกิจกรรมทดลองในห้องสมุดท้องถิ่นภายในกรุงอัมสเตอร์ดัม จุดเล็กๆ ที่ตอนนี้มี Repair Café กว่า 2,948 แห่งทั่วโลก คำว่า Café ถูกนำมาใช้เพื่อสื่อถึงความเป็นกันเอง ใครจะแลกเปลี่ยนไอเดียอะไรกันก็ได้ระหว่างซ่อม โดยที่คาเฟ่แห่งนี้มีบาริสต้าเป็นอาสาสมัครที่งัดความถนัดในแต่ละด้านมาให้บริการซ่อมของ หรือจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือว่า เป็นการเปิดพื้นที่ให้คนเอาของมา ‘ซ่อม’ กัน

แล้วทำไมเราถึงต้อง ‘ซ่อม’ ซื้อใหม่ ไม่ง่ายและคุ้มกว่าเหรอ?

ปัจจุบันการซ่อมอาจไม่ใช้ตัวเลือกแรก และไม่แปลกที่จะเป็นแบบนั้น

“การซ่อมเป็นเรื่องยาก เพราะสินค้าถูกออกแบบมาให้ต้องซื้อใหม่” ประโยคที่เรายังจำได้ตอนที่เรามีโอกาสได้คุยกับ ภูมิ-ภาคภูมิ โกเมศโสภา Community Director ของกลุ่ม Reviv ที่เอาแนวคิด Repair Café เข้ามาในประเทศไทย เป็นประโยคที่ทำให้เราเริ่มนึกภาพโครงสร้างที่อยู่เบื้องหลังสินค้า

อุปกรณ์บางอย่างถูก “ออกแบบมาให้ซ่อมไม่ได้” หรือการออกแบบที่ทำให้ซ่อมได้ยาก เช่น แบตเตอรี่ที่เปลี่ยนเองไม่ได้ หน้าจอโทรสัพท์ที่ถอดออกแล้วจะแตก ซึ่งมีชื่อเรียกแนวคิดนี้ว่า “Planned Obsolescence” ซึ่งก็คือ การออกแบบเพื่อให้สินค้าเสื่อมเร็วและบังคับให้ซื้อใหม่

จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่เราจะเห็นโทรศัพท์ที่ตกรุ่น และพร้อมให้อัพเดตใหม่ทุกปี เสื้อผ้าออกใหม่กว่า 52 คอลเลกชัน บวกกับ Economy of Scale ที่ผลิตมากต้นทุนต่ำ ทำให้สินค้าหลายอย่างมีราคาถูกจับต้องได้มากกว่าในอดีต

อธิปไตยทางราคาเป็นเรื่องที่ดี แต่การเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ไม่ได้รวมต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น เราผลิตเสื้อผ้าใหม่ทั่วโลกมากกว่า 100 พันล้านชิ้นต่อปี แต่ในขณะเดียวกันก็มีขยะสิ่งทอกว่า 92 ล้านตันต่อปีที่ถูกทิ้ง หลังจากที่ไม่ถูกซ่อม ไม่ถูกใช้ และตกรุ่น

ซึ่งกว่า 87% – 92% ของเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งทั้งหมดจะไปจบที่บ่อฝังกลบขยะ ในขณะที่อุตสาหกรรมแฟชั่นสร้าง CO₂ กว่า 10% ของโลก และใช้น้ำกว่าหลายล้านลิตร 

ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่อุปกรณ์อเล็กทรอนิกส์จำนวนมากในปัจจุบันก็มีราคาถูก และจูงใจกว่าด้วยความใหม่ มากกว่าการซ่อม

แต่ในความเป็นจริงอีกด้านคือ ทั่วโลกสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 62 ล้านตันต่อปี (ข้อมูลปี 2022) และ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.6 ล้านตัน ในขยะประเภทนี้มีเพียงแค่ 17–20% ที่ถูกรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่เตารีด คีย์บอร์ด เม้าท์ หูฟัง และทีวี แต่คือ แร่และโลหะ ไม่ว่าจะทองแดง เงิน ทองคำ พลาตินัม โคบอลต์ ลิเทียม ที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทิ้งไร้ค่าเป็นมลพิษขยะ หลังจากที่คุณภาพชีวิตของคนหลายประเทศ และสิ่งแวดล้อมที่ดีถูกพรากไปเพราะการทำเหมือง

นี่จึงเป็นเหตุผลว่า การซ่อมจึงเป็นการลดผลกระทบ จากการบริโภคของเราได้ตรงตัวมากที่สุด และเป็นการ ทวงคืนสิทธิผู้บริโภคในอีกทางหนึ่งด้วย และยุโรปก็ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขั้นที่มีกฎหมาย ให้การซ่อมเป็นหนึ่งสิทธิที่ควรมี

Right to Repair หรือสิทธิในการซ่อม เกิดจากการรวมตัวกันของประชาชนที่อยากเปลี่ยนโลกไม่ให้เป็นเหมือนแผนกขยะ ปัจจุบัน EU ผลักดันการซ่อมให้เป็นกฎหมาย อย่าง Directive on Repair of Goods ที่มีผลบังคับตั้งแต่ 30 กรกฎาคมปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐสมาชิกในยุโรปต้อง ออกเป็นกฎหมายในประเทศภายใน 31 กรกฎาคมที่จะถึงนี้

กฎหมายระบุว่า ผู้ผลิตแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะ เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ทีวี เครื่องล้างจาน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่าง สมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป จะต้องรับซ่อม หลังหมดประกันด้วย โดยที่ค่าใช้จ่ายต้อง “สมเหตุสมผล”ไปจนถึงซ่อมให้ฟรีตามเงื่อนไข และถ้าเลือกซ่อมระหว่างประกัน แทนที่จะซื้อใหม่จะได้การขยายประกันไปอีก 1 ปี นอกจากนี้ยังจะมี Online European Repair Platform ที่ให้ประชาชนค้นหาช่างซ่อม พื้นที่หาซื้อของและอะไหล่ได้ที่ตั้งเป้าจะปล่อยออกมาให้ใช้ภายในปี 2027

โดยที่การออกกฎหมายเหล่านี้ก็เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเทียบงานได้จากโทรทัศน์ที่ต้องทิ้ง 1 เครื่อง เป็นลดการทิ้งทรัพยากรโทรทัศน์ไป 1 เครื่องเช่นกัน ซึ่งอย่าง Repair Café ทั่วโลกก็ช่วยชีวิตสิ่งของจากการกลายเป็นขยะมากกว่า 50,000 ชิ้นต่อเดือน

การศึกษาของยุโรปที่พบว่า การซ่อม ไม่ใช่แค่วิธีช่วยประหยัดชีวิตอุปกรณ์ แต่เป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจของยุโรปด้วย โดยที่การซ่อมสามารถดึงเงินกลับเข้ามาหมุนเวียนถึง €200 พันล้านต่อปี และมีการจ้างงานเพิ่มมากกว่า 1 ล้านคน และเป็นการส่งเสริมกลไก EPR หรือ Extended Producer Responsibility ที่ให้ผู้ผลิตมีส่วนรับผิดชอบกับการผลิตสินค้าของตัวเองมากขึ้นด้วย

 

 

อ้างอิง

https://www.repaircafe.org/en/europe-now-has-the-right-to-repair/

https://www.youtube.com/watch?v=NQBD3Qt_v_M&list=PLu-2EIrN_ziUDun8vSHrghjKcD1V03udS&index=11

https://www.eea.europa.eu/en/circularity/thematic-metrics/consumer/turnover-in-the-repair-sector?utm

https://www.reportlinker.com/dataset/f648483f9edaee7c15207674abd9634a63a4aa5b?utm

https://earth.org/statistics-about-fast-fashion-waste

https://www.sustainabilityexpo.com/sx2024/news_details.com

https://businesswaste.com/waste-types/textile-waste/textile-waste-facts/?utm



podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า