SHARE

คัดลอกแล้ว

แม้ว่าผู้กำกับเบอร์ใหญ่ๆ หลายรายในฮอลลีวู้ดจะไม่ค่อยปลื้มการทำหนัง-ซีรี่ส์จอเล็กผ่านแพลตฟอร์มของ Netflix แต่ก็มีนักทำหนังเกรดเออีกหลายคนพร้อมจะกระโดดลงมาสู่แวดวงสตรีมมิ่งเช่นกัน หนึ่งในนักทำหนังคนสำคัญที่ผลิตชิ้นงานดีๆ ให้ Netflix มาโดยตลอดคือ เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับหนังเด่นอย่าง Seven (1995) Zodiac (2007) The Social Network (2010) และ The Girl with the Dragon Tattoo (2011) เป็นต้น โดยงานแรกที่เขาทำใต้ชายคา Netflix คือ House of Cards (2013-2018) ซีรี่ส์การเมืองสกปรกนำแสดงโดย เควิน สเปซี่ย์ ซึ่งหลังออกอากาศแล้วฮิตติดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง

หลัง House of Cards ติดตลาดไปแล้ว ฟินเชอร์ ก็หันไปทำซีรี่ส์เรื่องใหม่นั่นคือ Mindhunter อันว่าด้วย โฮลเดน ฟอร์ด (รับบทโดย โจนาธาน กรอฟฟ์) และ บิล เทนช์ (โฮลต์ แมคคัลลานี่ย์) เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ 2 รายใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมศาสตร์เพื่อใช้ในการตามจับฆาตกรต่อเนื่อง โดยพวกเขาใช้วิธีเข้าไปสัมภาษณ์ฆาตกรต่อเนื่องจริงๆ ถึงในคุกเพื่อหาข้อมูลว่า อะไรบ่มเพาะฆาตกรให้มีพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อจะได้นำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ และนำไปป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้นในอนาคต 

Mindhunter ออกอากาศซีซั่นแรกช่วงปลายปี 2017 แล้วประสบความสำเร็จอย่างงดงาม นักวิจารณ์และคนดูต่างชื่นชอบความเข้มข้นของเรื่องราว และความประณีตของงานสร้างในทุกอณู แถมเนื้อหายังก่อให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์อย่างกว้างขวาง หลังซีซั่นแรกจบลง คนดูต้องรอคอยยาวนานเกือบ 2 ปีกว่า Mindhunter ซีซั่น 2 จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมฉาย แต่ถึงจะต้องรอนาน ด้วยคุณภาพและความเข้มข้นของเรื่องตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้าย ก็ทำให้คนดูรู้สึกว่าคุ้มค่าจริงๆ กับการรอคอย

เรื่องราวในซีซั่น 2 เริ่มต้นหลังตอนจบของฤดูกาลก่อนเมื่อ โฮลเดน ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของหน่วยพฤติกรรมศาสตร์ มีปัญหาทางสภาพจิตขึ้นมาเองหลังอุปสรรคทุกอย่างถาโถมเข้าใส่ ทั้งชีวิตส่วนตัว ความรัก และการงานจนต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่อเขาหายดีกลับมาทำงานก็พบว่า หน่วยของเขากำลังไปได้ดีและผู้คนเริ่มยอมรับว่า งานวิเคราะห์พฤติกรรมนี้มีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ในการจับกุมคนร้ายได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าคนใหม่ เท็ด กันน์ (ไมเคิล เซอร์เวอริส) ซึ่งให้การสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่ สำหรับงานใหญ่ของซีซั่นนี้ที่ โฮลเดน กับ บิล ต้องรับผิดชอบคือการตามล่าฆาตกรต่อเนื่องในเมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ซึ่งสังหารเด็กผิวดำไปนับสิบรายแล้ว แต่เวลาผ่านไปเป็นปียังไม่มีวี่แววว่าทางการจะจับตัวได้

หากในซีซั่นแรก คนที่โดนอะไรหลายๆ อย่างเล่นงานหนักที่สุดจนเป๋คือ โฮลเดน ในตอนแรกของซีรี่ส์ยังแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและผู้อื่น แต่เมื่อผ่านการรักษา เมื่อเขามีสติสัมปชัญญะเต็มร้อย เขาก็กลับมาทำทุกอย่างเต็มร้อยเหมือนเป็นคนปกติ เป็นผู้ชายบ้างานที่เก่งฉกาจ และน่าหมั่นไส้ในสายตาของหลายคนเช่นเคย เขาทุ่มเทให้กับการทำงาน แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่ตัวปัญหาอีกต่อไป อุปสรรคใหญ่ที่สามารถปั่นป่วนความรู้สึกนึกคิดของเขาได้มีเพียงแค่การตามล่าฆาตกรต่อเนื่องในแอตแลนต้าดูยังที่ไงก็ไม่มีวี่แววว่าจะปิดคดีได้จริงๆ

แต่คราวนี้คนที่โดนทุกสิ่งอย่างถาโถมเข้าใส่จนตุปัดตุเป๋กลับเป็น บิล เทนช์ คู่หู โดยปัญหาอะไรก็ไม่หนักหนาเท่ากับปัญหาครอบครัว เมื่อลูกชายของเขาดันเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมเสียเอง มันทำให้ชีวิตและสภาพจิตใจของเขาและครอบครัวยุ่งเหยิงกว่าเดิมหลายเท่า หากใครยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นกับ โฮลเดน ในซีซั่นแรกได้ว่าผลของการโดนทุกอย่างพุ่งเข้าใส่เขารุนแรงเพียงใด ก็คงจะพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ เทนช์ ในท้ายที่สุด

Mindhunter ซีซั่น 2 มีสเกลที่ใหญ่ขึ้นกว่าซีซั่นก่อนมาก หากในซีซั่นแรกเน้นการตะลอนสัมภาษณ์ฆาตกรต่อเนื่องในคุกของ โฮลเดน และ บิล รวมถึงการตระเวนให้ความรู้เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อใช้ในการจับกุมคนร้าย เป็นการทำงานในภาคทฤษฎีมากกว่าภาคปฏิบัติ ซีซั่นนี้จะเน้นหนักที่การปฏิบัติมากกว่าภาคทฤษฎี 

จริงอยู่ว่าในช่วง 5 ตอนแรกยังเห็นตัวละครลงมือเก็บข้อมูลฆาตกรอยู่ แต่น้ำหนักของเรื่องในภาพรวมจะพุ่งไปที่การตามล่าฆาตกรโหดฆ่าเด็กผิวดำในเมืองแอตแลนต้าที่ลากยาวตลอดทั้งซีซั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ตอนสุดท้ายที่แทบจะทุ่มเวลาให้กับการสืบคดีนี้คดีเดียวโดดๆ หากใครชอบซีซั่นแรกมากๆ อาจจะรู้สึกว่าเอกลักษณ์บางอย่างที่คุ้นเคยขาดหายไป

ถึงกระนั้น สิ่งที่ไม่เคยหายไปจาก Mindhunter และถือว่าพุ่งสูงขึ้นด้วยซ้ำคือระดับความตึงเครียดและอารมณ์ลุ้นระทึก ชวนให้ติดตามว่าท้ายที่สุดแล้ว จะจับตัวฆาตกรและคืนความเป็นธรรมให้ครอบครัวของเหยื่อได้หรือไม่ ผู้สร้างยังออกแบบฉากการสนทนาได้เฉียบคม น่าฟัง และแฝงถึงความเดือดเช่นเคย ต่อให้เวลาเกินครึ่งของเรื่องจะหมดไปกับฉากตัวละครคุยกัน ไม่มีฉากยิงปืน ไม่มีแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อม หรือฉากขับรถไล่ล่าแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อ แถมสนุกชวนติดตามได้ทุกวินาที

และถึงแม้ว่าเรื่องราวจะว่าด้วยการทำความเข้าใจฆาตกร แต่ในอีกทางหนึ่งซีรี่ส์ยังแสดงให้เห็นความย้อนแย้งว่า บางทีคนธรรมดาเองก็คาดเดาและหยั่งถึงได้ยากไม่แพ้กัน และเผลอๆ จะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยเวลาเจ้าหน้าที่เอฟบีไอถามฆาตกร พวกเขาก็พร้อมจะพูดคุยอย่างเปิดอกถึงปีศาจร้ายในใจ ในทางกลับกัน คนธรรมดาที่ตัวละครต่างคุ้นเคยและพบหน้ากันทุกวัน กลับไม่ค่อยอยากสื่อสารกันเสียเอง จนลงเอยด้วยปัญหาที่บานปลายกว่าเดิม

หากตัดคำว่า “ฆาตกร” ออกไปแล้ววิเคราะห์พฤติกรรมของทุกคนดูดีๆ จะพบว่า ทุกคนในเรื่องต่างต้องการทำเพื่อความสุขของตนเองทั้งนั้น หากบรรดาฆาตกรออกทำร้ายและฆ่าคนเพื่อตอบสนองความสุขและความพึงพอใจส่วนตัว บรรดา “คนปกติ” เองก็ทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความพึงพอใจส่วนตัวไม่ต่างกัน อาจจะต่างก็ตรงที่การฆ่าไม่ได้เติมเต็มความสุขให้พวกเขา แต่เป็นเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การมีหน้ามีตาในสังคม หรือการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น 

ภายใต้หน้าฉากที่ดูดี ทุกคนต่างซ่อนปีศาจที่ยากจะหยั่งถึงเอาไว้ข้างในกันทั้งนั้น และจนกว่าเราจะทำความเข้าใจ พูดคุยกันอย่างเปิดอกจริงๆ ก็ไม่อาจเดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่นย่อมได้

หากใครเป็นแฟนซีรี่ส์ Mindhunter อยู่แล้ว เชื่อได้ว่าเมื่อดูจบซีซั่น 2 น่าจะยังคงรักและหลงใหลซีรี่ส์นี้อยู่เช่นเคย แต่สำหรับใครที่ไม่เคยดู อย่ากลัวว่าเรื่องราวจะนิ่งเนิบและน่าเบื่อ เพราะขึ้นชื่อว่างานของ เดวิด ฟินเชอร์ ย่อมถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน มาพร้อมความงดงามของบทสนทนา และการวางจังหวะในการชิงไหวชิงพริบของตัวละครที่แม่นยำ อีกทั้งมีการแสดงขั้นเทพ ดึงเอาความสามารถที่ดีที่สุดของทุกคนออกมากองรวมกัน ไม่ว่าจะบรรดาตัวละครหลัก หรือตัวละครสมทบทั้งหลายที่โผล่มาเพียงไม่กี่นาที แต่ต่างมีฉากเด่นน่าจดจำกันทั้งสิ้น 

นี่คือซีรี่ส์ที่คุ้มค่ากับการรับชมทุกวินาที และไม่ว่านับจากนี้เราจะต้องรอคอยซีซั่น 3 นานแค่ไหน แต่มั่นใจได้เลยว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะคุ้มค่าสมกับการรอคอยอย่างแน่นอน

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า