SHARE

คัดลอกแล้ว

ใครๆ ก็เคยมีปัญหาเรื่องเงินด้วยกันทั้งนั้น ‘ปลื้ม’ ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น บทสัมภาษณ์ในรายการ AIM HOUR ช่วงหนึ่ง ปลื้มได้พูดถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ว่าเป็นหนึ่งในบทเรียนที่หนักหนาที่สุด เพราะมันทำให้เสียเงินทั้งหมดที่มีไป

[ผมไม่อยากเล่นการเมืองอีก เพราะมันทำให้ผมเสียเงิน]

หลายๆ คนอาจจะรู้กันมาบ้างว่า ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์ เคยสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ และพ่ายแพ้ลง แต่ผลพวงที่ได้จากความพ่ายแพ้คือการที่เขาต้องสูญเสียชื่อเสียง และเงินจำนวนมหาศาลไป จนทำให้เขาตระหนักได้ว่า จะไม่พาตัวเองเดินทางไปสู่จุดนั้นอีก

แม้จะพูดว่าการเลือกตั้งเป็นบทเรียนสำคัญของความพ่ายแพ้ แต่ปลื้มเล่าว่าจุดเริ่มต้นจริงๆ มันคือการที่เขามี ‘ชื่อเสียง’ เขาเล่าว่าหนึ่งในช่วงชีวิตที่เขาโด่งดังที่สุด คือการทำงานข่าวกับช่อง 3 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเป็นทั้งนักข่าว พิธีกรรายการ และได้เล่นละคร ผลประกอบการจากการมีพื้นที่สื่อมากมายส่งผลให้เขาเป็นคนดัง ที่มี ‘เงิน’ 

เมื่อมีทั้งสองสิ่งนี้ แล้วจะมีอะไรขัดขวางเขาไม่ให้ก้าวไปสู่สเต็ปต่อไปล่ะ?

บทบาทของความเป็นคนดังและการมีเงิน ล่อลวงให้ปลื้มคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะก้าวไปสู่อีกสนาม นั่นคือการเล่นการเมือง เขาเชื่อว่าด้วยทุกอย่างที่มี เขาสามารถชนะได้ นั่นทำให้เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในปี 2552

แต่หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาในวันที่การเลือกตั้งจบลง ความจริงที่ว่าเขาพ่ายแพ้ในสนามนี้ก็ถาโถมใส่เขาไม่ยั้ง ปลื้มเล่าว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา เพราะเขาต้องทนกับความสูญเสียมากมาย เขาเปรียบว่าการเมืองก็เหมือนการพนัน ที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปในเวลาอันสั้น

“ถ้าคุณคิดว่าคุณมีเงินเยอะ คุณก็สามารถเสียมันไปได้ทั้งหมดเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นเพราะแพ้พนัน หรือแพ้การเมืองก็ตาม”

“อาจจะแย่กว่าหน่อยถ้าเสียให้การพนัน เพราะก็จะมีหนี้ด้วย

แต่ผมเสียมันไปเพราะการเมือง

ในช่วงเวลาประมาณ 2 ปีครึ่งมั้ง

ผมได้สูญเสียทั้งเงิน และชื่อเสียงของผมไปทั้งหมด”

สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ทั้งจากการมีชื่อเสียงและความสูญเสีย คืออย่าปล่อยให้ความคิดที่ว่าตัวเองพิเศษเหนือคนอื่นมาครอบงำเรา จงตระหนักเสมอว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง การได้ออกทีวี การเป็นที่รู้จักมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของงาน–ของอาชีพหนึ่งเท่านั้น

และอีกหนึ่งบทเรียนที่ปลื้มจากการเมืองคือ ‘อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นคนไม่มีเงินอีกเป็นอันขาด’ เพราะมันเป็นการชดใช้ที่หนักหนาสำหรับตัวเองและครอบครัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง และนำมาสู่อีกการตัดสินใจที่สำคัญ

“ผมก็ไม่อยากเกี่ยวข้องเรื่องการเมืองอีกแล้ว

เพราะมันทำให้ผมต้องใช้เงินเยอะมาก”

 

[ในวงการสื่อ ต้องมีใครสักคนที่เป็นอนุรักษนิยม]

ใครคิดติดตาม ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์ มาตลอด (หรือต่อให้ไม่ติดตามก็อาจพอรู้ข้อมูลนี้) ทุกแนวคิด และคำพูดของเขามีลายเซ็นของการเป็น ‘อนุรักษนิยม’ พาดทับไว้เสมอ ซึ่งในช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์ที่พูดคุยกับ AIM HOUR ปลื้มเล่าว่า บนหน้าหนังของสื่อ สมควรต้องมีผู้ที่เป็นอนุรักษนิยม คอยเป็นผู้ใหญ่ที่บอกคนรุ่นใหม่ว่ามุมมองต่างๆ เป็นอย่างไร

ปลื้มเล่าว่า ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ผู้ประกาศข่าวส่วนใหญ่จะมีแนวคิดเสรีนิยม มันจึงเป็นจุดที่ทำให้เขาคิดว่า เขาต้องเป็นอนุรักษนิยมให้เข้มข้นขึ้น (แต่ก่อนหน้านี้ ปลื้มก็เป็นอนุรักษนิยมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร) เขาเชื่อว่าต้องมีผู้ใหญ่ที่มีแนวคิดเช่นนี้ คอยชี้แนะแง่มุมต่างๆ ให้คนรุ่นใหม่

ปลื้มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะมีมุมมองแบบนี้ เพราะสังคมกำลังจะเป็นเสรีนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกลุ่มอนุรักษนิยมที่เคยมีชื่อเสียงในช่วงเวลาหนึ่ง ก็ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อประเทศไทยแบบเดิมอีกแล้ว เขาเลยหวังว่าตัวเองจะยังเป็นคนที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางความคิด

แต่การเป็นอนุรักษนิยมไม่ได้หมายความว่าต้องมีมุมมองทุกอย่างตรงข้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มเสรีนิยมเสมอไป ในช่วงกลางบทสัมภาษณ์ ปลื้มได้แสดงความเห็นถึงแนวคิดเหล่านี้กับบริบทประเทศไทยไว้ว่า

“เวลาผมพูดถึงเรื่องการเมือง เกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง

การมีผู้ชนะจากการเลือกตั้ง ที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ไม่ใช่การล้มล้างรัฐบาลโดยกำลังทหาร

ก็ง่ายๆ แค่นั้น”

“ผมไม่ได้พยายามสร้างความเป็นประเทศฝั่งซ้าย 

หรืออะไรทำนองนั้นขึ้นมาในประเทศไทย

แต่เพราะว่าการตั้งรัฐบาลทหาร 

ได้ครอบครองอำนาจในประเทศไทย มาเป็นเวลานาน

มันจึงทำให้เกิดเสรีนิยมฝั่งซ้ายขึ้นมา กระแสเสรีนิยมที่ค่อนข้างรุนแรง”

“เพราะฉะนั้นตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่พยายามหาตรงกลางอยู่ 

จุดตรงกลาง ระหว่างทั้งสองฝั่ง

ก็หวังว่าเราจะได้สิ่งนั้นมานะ”

ฟังบทสนทนาของ ‘ปลื้ม’ ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เต็มๆ ได้ที่ https://youtu.be/4rQS5Dnd20s

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า