วิกฤตกลุ่ม LGBTQIA+ หลังฝ่ายขวาจัดสหรัฐฯ มองบุคคลข้ามเพศเป็นลัทธิต้องห้าม

สมาชิกสภานิติบัญญัติพรรครีพับลิกัน ยกระดับการออกกฎหมายพุ่งเป้าไปที่คอมมูนิตี้ LGBTQIA+ อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2022 ซึ่งแดร็กควีนเป็นเป้าหมายแรก ๆ ที่ถูกลิดรอนสิทธิในการแสดงออก และตามมาด้วยกลุ่มทรานส์เจนเดอร์ หรือ บุคคลข้ามเพศ 

กระแสความเกลียดชังต่อกลุ่มเพศหลากหลายจากฝ่ายอนุรักษนิยมที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การออกกฎหมายหลายฉบับได้รับเสียงสนับสนุนจากกองเชียร์ฝ่ายขวาอย่างล้นหลาม ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดสุดโต่งในการแบนสิทธิของบุคคลข้ามเพศ

ในบางรัฐเริ่มจากการสั่งระงับการรับการรักษาพยาบาลเบื้องต้นในเยาวชนข้ามเพศ หรือในบางรัฐหากพบว่าแพทย์ให้การรักษาแก่เยาวชนข้ามเพศ ผู้ปกครองและแพทย์ผู้ให้การรักษาจะถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาล่วงละเมิดเด็ก

ในปีนี้ปรากฏจำนวนและขอบเขตของร่างกฎหมายเกี่ยวกับบุคคลข้ามเพศที่ไม่เคยมีมาก่อนในวาระการพิจารณากฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น มาตรการจำกัดไม่ให้ครูใช้สรรพนามเรียกนักเรียนตามอัตลักษณ์ทางเพศของนักเรียนคนนั้น ๆ รวมถึงยังสั่งห้ามไม่ให้หญิงข้ามเพศเล่นกีฬาในทีมกีฬาหญิง และยังกำหนดให้บุคคลข้ามเพศใช้ห้องน้ำและล็อกเกอร์ตามเพศกำเนิดของตนเอง อีกทั้งในบางรัฐ ยังมีการจำกัด ไม่ให้แพทย์ให้การรักษาด้วยการจ่ายฮอร์โมนบำบัดอีกด้วย

การผลักดันกฎหมายเหล่านี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างเพศสภาพและเพศวิถีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในห้องเรียน ห้องพิจารณาคดี และแคมเปญทางการเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้สนับสนุนกลุ่มบุคคลข้ามเพศกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อเยาวชนข้ามเพศในประเทศ

“ประเด็นนี้จะกลายเป็นการถกเถียงระดับชาติในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้า” เจย์ ริชาร์ดส์ นักวิจัยอาวุโสแห่ง The Heritage Foundation มูลนิธิฝ่ายอนุรักษนิยมของสหรัฐฯ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้มูลนิธิของฝ่ายอนุรักษนิยมจะสนับสนุนการเสนอร่างกฎหมายจำกัดสิทธิบุคคลข้ามเพศในหลายรัฐ แต่นักวิจัยอาวุโสก็กล่าวค้าน ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายบางฉบับ เช่นร่างกฎหมายที่มีความผิดเป็นอาญาต่อแพทย์ผู้รักษาและผู้ปกครอง ว่า “เข้มงวดเกินไป”

ทั้งนี้ ประเด็นความเกลียดชังต่อบุคคลข้ามเพศได้ถูกยกระดับขึ้น เมื่อ ไมเคิล โนวลส์ นักวิจารณ์การเมืองฝ่ายขวา กล่าวแสดงเจตนารมณ์รุนแรงในรายการข่าวฝ่ายอนุรักษนิยม Daily Wire ว่า “เพื่อประโยชน์ของสังคม ลัทธิคนข้ามเพศจะต้องถูกกำจัดจากสาธารณชนให้สิ้นซาก” 

หลังจากการออกอากาศของรายการข่าวดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมถึงผู้สนับสนุนฝ่ายขวาเอง ที่ประณามคำพูดดังกล่าวว่าเป็นการยั่วยุและเป็นอันตราย โดยบางส่วนถึงกับกล่าวว่า คำพูดดังกล่าวอยู่ในระดับของ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” แล้ว

ในขณะเดียวกัน ทำเนียบขาว ได้ออกมาประณามการโจมตีที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและเป็นอันตรายต่อกลุ่ม LGBTQIA+ ตามที่พรรครีพับลิกันในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐฯ บังคับใช้กฎหมายที่มุ่งเป้าไปที่สิทธิของกลุ่มเพศหลากหลายอย่างเห็นได้ชัด

แครีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกประจำทำเนียบขาว รายงานการว่า กฎหมายลิดรอนสิทธิกลุ่ม LGBTQIA+ กว่า 450 ฉบับ ถูกนำเข้าสู่ขั้นตอนพิจารณาแล้วในหลายรัฐทั่วประเทศ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อประชาชนกลุ่มเพศหลากหลาย ที่นอกจากกลุ่มบุคคลข้ามเพศแล้ว ยังมีกฎหมายจำกัดการคุ้มครองคู่รักเพศเดียวกันที่ถูกแนะนำในบางรัฐแล้วอีกด้วย

“ไม่มีเหตุผลอะไรเลยในการออกกฎหมายเหล่านี้ นอกไปเสียจากการกีดกันแบ่งแยกกลุ่มเพศหลากหลายออกไปจากสังคม” เจฟ เวทรอสกี ผู้อำนวยการแคมเปญสิทธิมนุษยชนเพื่อกลุ่มเพศหลากหลาย ระบุ

ทั้งนี้ รายงานจากบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ โคโมโด (Komodo Health, Inc.) ร่วมกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า จากการเข้ารับการรักษาด้วยการรับยาระงับการเจริญพันธุ์หรือรับฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศ ทำให้เยาวชนจำนวน 121,884 คน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีสภาวะแปลกแยกจากเพศกำเนิด (Gender Dysphoria) ลดลง 15% หรือเฉลี่ย 3,500 คนต่อปี นับตั้งแต่ปี 2017 – 2021

ที่มา
Reuters-US Republicans
Reuters-White House
The Guardian