Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดรายละเอียดปมต้นทุนพลังงานและค่าไฟฟ้า (Ft) จี้รัฐเร่งหาทางออกต้นทุนพลังงานสูง พร้อมชะลอการปรับค่า Ft งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2566 ออกไปก่อน

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ติดตามถึงสถานการณ์ความผันผวนและราคาพลังงาน รวมไปถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมาโดยตลอด ซึ่งได้ทำหนังสือยื่นเสนอข้อร้องเรียนถึง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน (สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงานไปแล้ว ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2565 ทั้งแนวทางการแก้ไขต้นทุนพลังงาน, การชะลอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft), ปัญหาสูตรโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติภาคอุตสาหกรรม “แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานงานเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว”

รองประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า ขอให้ภาครัฐพิจารณาถึงข้อเสนอของส.อ.ท. เพื่อหาทางออกต้นทุนพลังงานสูงเป็น 2 ประเด็นหลักๆ คือ

– ประเด็นแรก ข้อเสนอทางออกค่าไฟฟ้า ขอให้ชะลอการขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ออกไปก่อน โดยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการแบกรับภาระที่เกิดขึ้น และปลดล็อคกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการ เช่น การขอใบอนุญาต รง.4 (กรณีมีการจำหน่ายไฟฟ้าให้ภาครัฐ) การขอใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซล่าเซลล์ (Solar Cell) ในโรงงานอุตสาหกรรมและภาคบริการ การส่งเสริมการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้รวดเร็วและครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และการเพิ่มสัดส่วนเอทานอลด้วยน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วผสมกับเอทานอล (E20) เป็นต้น

– ประเด็นที่ 2 ข้อเสนอทางออกค่า NG โดยผลักดันให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นตัวกลางในการหาทางออกร่วมกัน เพื่อบรรเทาภาระระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ รวมทั้งรัฐบาลควรเร่งตั้งทีมเจรจากับประเทศกัมพูชา เพื่อนำพลังงานจากพื้นที่ไหล่ทวีปคาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา (Overlapping Claimed Area: OCA) มาใช้ประโยชน์ร่วมกัน

นอกจากนี้ จากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา มีมติเสนอให้ภาครัฐ “ชะลอการปรับขึ้นค่า Ft เดือน มกราคม-เมษายน 2566 ออกไปก่อน” โดยมีเหตุผลประกอบ 4 ข้อด้วยกัน คือ

ข้อแรก ค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 ซึ่งถูกปรับขึ้นถึง 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 17% เป็น 4.72 บาท/หน่วย ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากอยู่แล้ว หากมีการปรับขึ้นอีกในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จะเป็นการปรับค่าไฟฟ้าขึ้นที่รุนแรงมากถึงสองงวดติดต่อกัน และจะส่งผลกระทบรุนแรงมาก จนยากต่อการปรับตัวของทุกภาคส่วน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยเกินคาด

ข้อที่ 2  กกพ. ได้ประมาณการต้นทุนค่าไฟฟ้าว่าจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 (ผลิตก๊าซจากอ่าวไทยได้มากขึ้น ราคา LNG ลดลงสู่ภาวะปกติ) จึงเป็นโอกาสให้ชะลอการปรับขึ้นค่า Ft ไว้ก่อน เมื่อต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลงต่ำกว่าค่า Ft แล้ว จึงบริหารค่า Ft อย่างเหมาะสมเพื่อชดเชยและลดภาระที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระแทนผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่ในปัจจุบัน

ข้อที่ 3 ภาระค่าไฟฟ้าส่วนที่ กฟผ. แบกรับภาระแทนไปก่อนนั้น อยู่ในวิสัยที่ภาครัฐจะบริหารจัดการให้ กฟผ. สามารถเพิ่มการรับภาระได้มากขึ้น และยาวนานขึ้นได้มากกว่า 2 ปี โดยวิธีการต่างๆ เช่น การเพิ่มเพดานเงินกู้เฉพาะกิจ การจัดสรรวงเงินให้ยืม การชะลอการส่งเงินรายได้เข้าคลัง เป็นต้น

ข้อที่ 4 ในสถานการณ์ที่ค่าไฟฟ้าสูงมาก เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองสูงมากกว่าปกติ จนผู้ใช้ไฟฟ้าต้องรับภาระค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสูงถึง 30,665 ล้านบาท (งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565) และ 32,420 ล้านบาท (งวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566) จึงควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ร่วมกันตัดทอนการลงทุนในส่วนที่เป็นเงินที่ทั้ง 3 หน่วยงานการไฟฟ้าเรียกเก็บไว้ล่วงหน้าในค่าไฟฟ้าฐานไว้แล้ว เพื่อให้ทาง กกพ. สามารถเรียกคืนเงินส่วนที่ตัดทอนได้นี้ (Claw Back) มาช่วยลดค่าไฟในช่วงวิกฤตราคาไฟฟ้านี้

ดังนั้น กรณีมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงมากถึง 2 งวดติดต่อกัน ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและครัวเรือน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจทั้งภาคการผลิตและภาคบริการที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ เนื่องจากภาคการผลิตและภาคบริการเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ประชาชน ภาครัฐควรพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานสูงและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเข้มแข็งและมีศักยภาพสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

 

ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

ค่าไฟปีหน้าขึ้นแน่ สูงสุด 6.03 บาทต่อหน่วย ด้าน ‘ไทยสร้างไทย’ แฉปชช.ต้องจ่ายค่าไฟที่ไม่ได้ใช้รวม 2 หมื่นล้านต่อปี

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า