SHARE

คัดลอกแล้ว

[et_pb_section admin_label=”section”]
[et_pb_row admin_label=”row”]
[et_pb_column type=”4_4″]
[et_pb_text admin_label=”Text”]

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน เราปฏิเสธไม่ได้ ว่าชื่อเสียงของ “ฟลุ้ค” ธนวัชร นิติกาญจนา ผู้บริหารสโมสรราชบุรี มิตรผล เอฟซี ถือว่าเป็นลบ มากกว่าบวก

ทุกคนจะรู้จักเขาในฐานะผู้จัดการทีมอารมณ์ร้อน ที่ชอบมายืนอยู่ข้างสนาม คอยกระตุ้นให้ลูกทีมสู้เต็มที่จนเก็บชัยชนะให้ได้ แต่แน่นอน มีหลายๆครั้งที่มัน “ล้ำเส้น” จนเกินไป

ย้อนกลับไปเดือนกรกฎาคม 2560 มีดราม่าสำคัญที่สุดในชีวิต เกิดขึ้นกับธนวัชร ในเกมระหว่างราชบุรี มิตรผล เอฟซี เปิดบ้านต้อนรับชลบุรี เมื่อธนวัชรไปตบหัวใส่ติอาโก้ คุนญ่า นักเตะของชลบุรี จนเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ถึงขั้นทำให้เขาต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้จัดการทีม และดันตัวเองขึ้นไปเป็นประธานสโมสรแทน

ในวันนั้นเกิดอะไรขึ้น แล้วธนวัชรเสียใจหรือไม่ แน่นอน คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่าตัวเขาเอง

และอีกสิ่งที่น่าคิดก็คือ แม้จะมีหลายคนไม่ชอบเขา แต่ทำไมกับเรื่องในสนามแข่งขัน เขาพาทีมราชบุรี ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจมาก จากทีมเล็กๆในระดับลีกภูมิภาค ไต่เต้าขึ้นมา จนขึ้นมาเล่นลีกสูงสุด และได้แชมป์เอฟเอคัพ รวมถึงทำสถิติชนะรวด 100% ในไทยลีก ฤดูกาลปัจจุบัน

ในวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับตัวตนของ ธนวัชร นิติกาญจนา ในทุกแง่มุม ทั้งดราม่า และความสุข กับชายผู้ที่เกิดมาในครอบครัวนักธุรกิจ และนักการเมือง แต่กลับสร้างชื่อให้ตัวเอง ด้วยแนวทางของฟุตบอล

ธนวัชร นิติกาญจนา ประธานสโมสร ราชบุรี มิตรผล เอฟซี

ตระกูลนิติกาญจนา ถือเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงในจังหวัดราชบุรี พวกเขาเติบโตมาจากอุตสาหกรรมฟาร์มหมู คือทำทุกอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่ทำฟาร์ม เลี้ยงหมูในโรงเรือน ทดลองการปรับปรุงสายพันธุ์  ผลิตอาหารสัตว์แบบอัดเม็ด ชำแหละ-ตัดแต่งเนื้อ และ แปรรูปอาหาร ออกวางขายในตลาด

จากรายงานของกรมปศุสัตว์ระบุว่า กาญจนากรุ๊ป มีสัดส่วนทางการตลาด ของอุตสาหกรรมหมูเลี้ยง เป็นอันดับ 7 ของประเทศ

อาณาจักรกาญจนากรุ๊ปเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง จากนั้น “กำนันตุ้ย” วิวัฒน์ นิติกาญจนา หนึ่งในผู้บริหารของกาญจนากรุ๊ป จึงกระโดดลงเล่นการเมืองในปี พ.ศ.2544 ในสังกัดพรรคไทยรักไทยและได้รับการเลือกตั้งถึงสองสมัยซ้อน

หลังจากหมดวาระ เข้าสู่การเลือกตั้งในปี พ.ศ.2554 ภรรยาของกำนันตุ้ย บุญยิ่ง นิติกาญจนา เข้ามาสานต่องานการเมือง โดยข้ามไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย และได้รับการเลือกตั้งเช่นกัน ก่อนที่ในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2562 บุญยิ่งจะย้ายไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ และได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้น

เมื่อทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ทำงานในภาคการเมืองอย่างจริงจัง นั่นทำให้ตัวธนวัชรรับรู้ดีว่า ในอนาคตเขาเองก็ต้องมาสานต่อในสายงานธุรกิจฟาร์มหมูของที่บ้านตัวเอง

“ผมจะเลือกเรียนอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้ว่าวันหนึ่งต้องกลับมาทำธุรกิจที่บ้าน ที่บ้านเราทำอุตสาหกรรมฟาร์มหมู และกิจการมันไปได้ดีพอสมควร ดังนั้นสิ่งที่เรารับรู้ก็คือ เราต้องกลับมาต่อยอด จากสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มไว้ให้ มันน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด”

หลังเรียนจบจากวิทยาลัยนานาชาติ สาขาการท่องเที่ยวและโรงแรม มหาวิทยาลัยมหิดล ธนวัชรในวัย 25 ปี ได้กลับมาทำงานกับธุรกิจของที่บ้าน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อตระกูลนิติกาญจนา ตัดสินใจเทกโอเวอร์ สโมสรราชบุรี เอฟซี ซึ่งขณะนั้นอยู่ในลีกภูมิภาค ซึ่งถ้าเทียบกับปัจจุบันก็คือ T3

“สมัยก่อนทีมฟุตบอลระดับลีกรอง ต้องยอมรับว่ามันไม่มีมูลค่า ทำแล้วก็เหนื่อย ดังนั้นเจ้าของเดิมก็เลยชวนให้คุณพ่อคุณแม่เข้ามาทำทีมต่อ” ธนวัชรกล่าว “ผมเองเห็นด้วยนะที่จะทำ เพราะมันเป็นการเข้ามาช่วยทีมของจังหวัด ถ้าเราไม่เข้ามาเทกโอเวอร์ เจ้าของเดิมอาจจะยุบทีมไปเลย แล้วจังหวัดเราอาจไม่มีทีมฟุตบอลในสารบบอีกเลยก็ได้”

“คุณแม่เอาเรื่องนี้มาคุยบนโต๊ะอาหาร ผมก็บอกว่าเรื่องฟุตบอลผมชอบอยู่แล้ว แม้จะไม่รู้เรื่องการจัดการ แต่ก็คิดว่าอยากจะทำ”

ในที่สุดการเทกโอเวอร์ก็เกิดขึ้น แต่บุญยิ่งไม่ได้เอาเงินจากกาญจนากรุ๊ปมาโปะให้สโมสรฟุตบอลแบบไร้ขีดจำกัดอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เธอให้ธนวัชร เข้ามาดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง แบบนับ 1 ใหม่หมด ในตำแหน่งผู้จัดการทีม คือถ้าอยากได้เงินซื้อนักเตะ แล้วเกินจากงบรายปีที่ตั้งไว้ ธนวัชรจะควักเงินส่วนตัวไม่ได้ ต้องทำการหาสปอนเซอร์ หรือใช้เงินจากค่าบัตรเข้าชมในสนาม เอาไปซื้อนักเตะ

ฤดูกาลแรกที่ทำ เขาเจอความจริงว่า ทีมราชบุรี เอฟซี  ทั้งสโมสรไม่มีพนักงานในส่วนออฟฟิศแม้แต่คนเดียว ฝ่ายการตลาด ฝ่ายโฆษณา ฝ่ายประสานงาน ไม่มีเลย สนามแข่งก็เช่า เจ้าหน้าที่ขายตั๋วก็จ้างเป็นแมตช์ๆ ไป คือธนวัชรต้องทำคนเดียวทุกอย่างจริงๆ

“ผมรู้สึกกับสโมสรเหมือนเป็นทารก คือเราอยู่กับมันมาตั้งแต่แรกเกิด คือในตอนแรก สโมสรเราไม่มีอะไรเลย ไม่มีสตาฟฟ์สักคน ทั้งทีมมีแค่เรา โค้ช แล้วก็นักเตะสามสิบคน เวลาซ้อมบอลนักเตะมาพักดื่มน้ำที่คูลเลอร์ข้างสนาม เชื่อไหม ทั้งคูลเลอร์เรามีแก้วแค่ 2 ใบ ก็ใช้ 2 ใบนั่นล่ะ วนเวียนกันใน 30 คน”

ฤดูกาลแรกของธนวัชร เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม ราชบุรี เอฟซี จับอันดับ 9 ในลีกภูมิภาคโซนภาคกลาง และภาคตะวันออก ไม่สามารถเลื่อนชั้นได้สำเร็จ ถึงตรงนี้เขารู้แล้วว่า การทำทีมฟุตบอลมันไม่ง่ายจริงๆ

“ผมเข้าใจว่า ทำทีมฟุตบอลมันเหมือนคำถามว่า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน คือถ้าคุณทำทีมให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ สปอนเซอร์ก็ไม่เข้า แต่ถ้าสปอนเซอร์ไม่เข้า คุณก็ประสบความสำเร็จไม่ได้ คำถามคือเราต้องทำอย่างไรดี”

แผนการของธนวัชรคือ “สร้างทีม” ที่ดูดี มีศักยภาพพอที่จะเลื่อนชั้นได้ขึ้นมา ซึ่งถ้าสปอนเซอร์ได้เห็นทีมที่เขาสร้าง ก็อาจเทใจเข้ามาสนับสนุนก็เป็นได้ หลังจากมีประสบการณ์ในฟุตบอลไทย 1 ปี เขาค้นพบว่า ความแตกต่างของชัยชนะ อยู่ที่ตัวผู้เล่นต่างชาติ ถ้าคุณหาตัวต่างชาติเกรดเอมาประคองทีมได้สักคน ทีมจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

“ผมมีโอกาสเห็นฟอร์มของดาวิด บายีฮา นักเตะชาวแคเมอรูนของทีมทหารบก ในช่วงปลายปี 2553 ซึ่งตอนนั้นเขากำลังจะหมดสัญญากับสโมสรพอดี เราเลยหาโอกาสไปคุยกับเขา ว่าสนใจย้ายมาราชบุรีมั้ย ทีมเราอยู่ดิวิชั่น 2 และตั้งใจจะเลื่อนชั้นให้ได้” ธนวัชรเล่า “แต่เขาปฏิเสธกลับมา บอกว่าเขาเล่นอยู่ในระดับไทยลีก เราอยู่ลีกภูมิภาค มันห่างกัน 3 เลเวลเลยนะ เขากลัวว่าถ้าย้ายไป แล้วราชบุรีเลื่อนชั้นไม่ได้ เขาจะเสียเครดิตตัวเอง ที่ย้ายไปเล่นให้กับทีมในลีกต่ำกว่า”

“แต่ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผมถามว่า พรุ่งนี้คุณซ้อมบอลที่ไหน เขาก็บอกสถานที่มา ผมไปถึงตั้งแต่บ่ายสาม รอเขาสองชั่วโมงหน้าสนามจนซ้อมเสร็จ แล้วขออนุญาตเขามานั่งคุยกันในรถ”

ธนวัชร  อธิบายเป้าหมายทั้งหมดของตัวเองให้บาฮียาฟัง เขาเชื่อว่าถ้าหากโน้มน้าวนักเตะที่เก่งขนาดนี้เข้าสู่ทีมได้ ต่างชาติตัวอื่นๆ ก็จะให้ความสนใจราชบุรีมากขึ้น และสุดท้ายบาฮียายอมแพ้แก่ความตั้งใจ เขาตัดสินใจเซ็นย้ายมาร่วมทีมราชบุรี ต้นปี 2554

หลังจากได้บาฮียาแล้ว กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะนักเตะหลายๆคน ก็เริ่มมองว่า ขนาดบาฮียายังย้ายไปได้ แสดงว่าราชบุรี เอฟซี ก็ไม่น่าจะเป็นทีมที่เลวร้ายอะไร ดังนั้น ธนวัชร จึงเดินหน้าเซ็นสัญญากับผู้เล่นอีกหลายคน โดยเขาเล็งไปที่นักเตะเก่ง แต่หมดสัญญากับต้นสังกัดเดิม เพราะถ้าใช้วิธีนี้ สโมสรก็ไม่ต้องจ่ายค่าตัวของผู้เล่นด้วย เพราะตามกฎบอสแมน คุณสามารถเซ็นกับนักเตะที่หมดสัญญาได้ฟรี ในที่สุด ตอนนี้ ธนวัชร ได้ทีมที่มีความแข็งแกร่งมากพอ สำหรับสู้ศึกในฤดูกาล 2554

“เมื่อมีทีมที่โอเคแล้ว ขั้นต่อไปคือสปอนเซอร์ สโมสรเราอยู่ไม่ได้แน่ ถ้าไม่มีสปอนเซอร์คอยซัพพอร์ท ดังนั้นก่อนเปิดฤดูกาล เรามีอุ่นเครื่องกับชัยนาท ซึ่งเป็นทีมที่อยู่ในระดับดิวิชั่น 1 โดยมีเป้าหมายเลื่อนชั้นขึ้นไทยลีกให้ได้”

“ชัยนาทเป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก ใครๆก็รู้ แต่ในวันนั้นผมได้เชิญท่านสรอรรถ กลิ่นประทุม ผู้ใหญ่ในจังหวัดให้เข้ามาชมเกมด้วย ซึ่งท่านสรอรรถ มีคอนเน็กชั่นกับสินค้าหลายแบรนด์ ดังนั้นผมคิดว่า เกมสำคัญแบบนี้ ถ้าเราทำผลงานเข้าตาท่าน เราอาจจะได้สปอนเซอร์จากช่องทางนี้”

“เกมที่เจอกับชัยนาท ผมบอกนักเตะทุกคนว่า วันนี้เราต้องชนะ ชัยนาทจะเก่งแค่ไหนไม่รู้ แต่เราต้องชนะ กระตุ้นให้ทุกคนสู้แบบเดิมพันชีวิตกันเลย สรุปสุดท้ายเราชนะ 1-0 พอจบเกม ผมคุยกับท่านสรอรรถ ว่าตอนนี้ทีมพร้อม ถ้าเกิดเราใช้ทีมนี้แข่ง เราจะเลื่อนชั้นได้”

เมื่อเห็นอนาคต สรอรรถ กลิ่นประทุม จึงเข้ามาช่วยซัพพอร์ต และหาสปอนเซอร์มาให้ โดยเป็นไอ-โมบาย กับ ช้าง ซึ่งไอ-โมบายให้ 2 ล้านบาท ส่วนช้างให้ 1 ล้านบาท ซึ่งสำหรับทีมลีกล่างอย่างราชบุรี เอฟซี ถือเป็นจำนวนที่สูงมากในยุคนั้น

ธนวัชร สร้างราชบุรี เอฟซี คว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ในปี 2554 จากนั้นแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น ในปี 2555 เขาพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีก เป็นการคว้าแชมป์ 2 เลเวล ในรอบ 2 ปี ซึ่งมีน้อยทีมในไทย ที่สามารถทำได้ ตอนนี้ราชบุรีก้าวขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดได้แล้ว หลังจากตระกูลนิติกาญจนา เทกโอเวอร์แค่ 3 ปี เท่านั้น

เมื่อฟอร์มดี สิ่งที่ตามมาคือ “สปอนเซอร์” แบรนด์ต่างๆทั้งระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น เข้ามาสนับสนุนราชบุรี เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น สยามคูโบต้า, เอไอเอ, บ้านปู , สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี , อีซูซุ เป็นต้น

แต่แบรนด์ที่เข้ามาสนับสนุนด้วยการเป็นเมนสปอนเซอร์ คือกลุ่มน้ำตาลมิตรผล ซึ่งจุดเริ่มต้นธุรกิจของกลุ่มมิตรผล เริ่มต้นจากอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ดังนั้นกลุ่มมิตรผล จึงต้องการกลับมาซัพพอร์ทสโมสรฟุตบอล ที่เป็นรากเหง้าของตัวเอง ดังนั้นดีลนี้ ก็ถือเป็น Win-Win Situation

ราชบุรี เอฟซี เปลี่ยนชื่อเป็นราชบุรี มิตรผล เอฟซี ธนวัชรได้เงินก้อนมหาศาลเอามาพัฒนาทีม ซึ่งเขาก็ใช้จ่ายในการเสริมทีมหลายอย่าง โดยเฉพาะการสร้างสนามแห่งใหม่ ที่ถูกตั้งชื่อตามเมนสปอนเซอร์ว่า มิตรผล สเตเดี้ยม

อย่างไรก็ตาม แม้จะเงินจากสปอนเซอร์เข้ามามากมาย แต่ธนวัชรรู้ดีว่า สำหรับฟุตบอล เงินที่ยั่งยืนมากที่สุด คือเงินที่ได้มาจากแฟนบอล สปอนเซอร์นั้น วันหนึ่งมา แล้ววันหนึ่งก็อาจไป แต่แฟนบอลนั้น ไม่ว่านานเท่าไหร่ ถ้าเขาซัพพอร์ททีมแล้ว ก็จะเชียร์แบบนั้นตลอดไป จากรุ่นพ่อ ไปสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน

“เมื่อก่อน ตอนผมอยากดูหนัง ผมต้องทำไงรู้ไหมครับ ผมต้องขับรถจากตัวเมือง ไปที่โลตัส เมเจอร์บ้านโป่ง ขับรถเป็นสิบๆกิโลเมตร คือเมื่อก่อนราชบุรี ไม่มีโรงหนังแบรนด์เนมสักแห่ง ซึ่งเราก็สงสัยนะ ว่าเอ๊ะ แล้วคนราชบุรี สุดสัปดาห์ เสาร์อาทิตย์เขาทำอะไรกัน ซึ่งตรงนี้ ด้วยความที่เราจบการท่องเที่ยวมา เราก็คิดว่า โอเค ถ้าเมืองราชบุรี ไม่มีโรงหนังให้ดู เราก็จะสร้างหนังสักเรื่องมาให้คุณดู”

“หนังที่ผมคิดจะทำ คือเกมฟุตบอล ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คนราชบุรีอยากออกมาทำอะไรสักอย่าง คือแทนที่คุณจะขับรถไปบ้านโป่งเพื่อดูหนัง แต่เราก็กระตุ้นคนให้มาดูฟุตบอลในสนามแทน คุณดูหนังต้องไปรับเพื่อน แล้วหาที่จอดรถใช่ไหม เราก็เหมือนกัน มาดูบอลเราจัดสรรที่จอดรถให้หมดแล้ว คุณดูหนังอยากกินป๊อปคอร์นใช่ไหม มาดูฟุตบอลสิ เราเตรียมขายขนม ขายป๊อปคอร์นให้คุณเหมือนกัน คุณเข้าไปดูหนัง ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงใช่ไหม ฟุตบอลก็ 2 ชั่วโมงจบเหมือนกัน แต่มันได้อรรถรสกว่า คือคุณคาดเดาไม่ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสนาม”

วิสัยทัศน์ของธนวัชร คือการมาดูฟุตบอล ไม่ใช่แค่เกมการแข่งขัน แต่คือการใช้เวลาร่วมกันกับเพื่อนฝูง กับครอบครัว เขาต้องการสร้างให้แมตช์การแข่งของราชบุรี คือกิจกรรมสันทนาการที่คนอยากมาทำด้วยกันมากที่สุด

“มันเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจที่สุด เวลาเห็นครอบครัวซ้อนมอเตอร์ไซค์มาดูฟุตบอลกัน ทั้งบ้านใส่เสื้อสีส้มกันหมด เรามีความสุขที่ฟุตบอลสามารถเชื่อมโยงกับชุมชนได้มากขนาดนี้ เราสร้างความหวงแหน สร้างความภูมิใจ ให้เรารู้สึกว่า ใส่เสื้อราชบุรี แล้วมันเท่เหลือเกิน”

ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ตอนนี้ยกระดับทีมขึ้นมาเรื่อยๆ ทีมเคยขึ้นไปสูงที่สุดคืออันดับ 4 ของตารางคะแนน ในปี 2557 และ ได้แชมป์ร่วมเอฟเอคัพ ในปี 2559

ทิศทางของสโมสรเติบโตไปอย่างแข็งแกร่งมาก ทั้งเรื่องผลการแข่งในสนาม และเรื่องธุรกิจนอกสนาม เช่นเดียวกับเครดิตในตัวธนวัชร จากคนที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้เขากลายเป็นผู้บริหารคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการจับตามองมากขึ้น

มิตรผลสเตเดียม เป็นสนามฟุตบอลเต็มรูปแบบของสโมสรฟุตบอลราชบุรี มิตรผล มีความจุทั้งหมด 12,000 ที่นั่ง ซึ่งสร้างด้วยงบประมาณสูงกว่า 300 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2558 และเปิดใช้งานครั้งแรกในศึกไทยลีก ฤดูกาล 2559 (ภาพจาก Ratchaburi Mitr Phol FC)

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของธนวัชร ที่ทำให้เขาต้องทบทวหลายๆสิ่งในชีวิต เกิดขึ้นในปี 2560 นั่นคือดราม่า ระหว่างเขากับติอาโก้ คุนญ่า ดาวเตะชลบุรี เอฟซี

สำหรับธนวัชรนั้น ด้วยความที่เขาอยู่กับทีมมาตั้งแต่เล่นลีกภูมิภาค ดังนั้นเขาจึงมีความรักในทีมเป็นอย่างมาก บางครั้งก็รักมากเกินไป จนข้ามลิมิตของคำว่าผู้จัดการทีม

ตามปกติผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลทีมอื่น ก็จะคอยจัดการปัญหาอยู่วงนอก เวลามีแข่งก็จะไปนั่งบนบ็อกซ์วีไอพี แต่กับธนวัชร เขาจะลงไปนั่งข้างสนามเสมอ อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง ซึ่งตามกฎแล้ว ถ้าส่งชื่ออย่างถูกต้อง ก็สามารถนั่งได้ แต่ตามธรรมเนียมแล้ว เราไม่ค่อยเห็นกัน เพราะผู้คนกลัวว่าผู้จัดการทีมจะเข้าไปกดดันการทำหน้าที่ของกรรมการ

ดราม่าสำคัญเกิดขึ้น ในเกมไทยลีก วันที่ 8 กรกฎาคม 2560 ระหว่างราชบุรี กับ ชลบุรี ที่สนามมิตรผล สเตเดี้ยม จบครึ่งแรกคู่นี้ ราชบุรีนำอยู่ 3-0 ซึ่งตามจริงก็น่าจะชนะได้ง่ายๆ แต่ในจังหวะครึ่งแรกของเกม มีช็อตที่ติอาโก้ คุนญ่า นักเตะของชลบุรีล้มลงในเขตโทษ แต่ผู้ตัดสินไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้แจกจุดโทษ และไม่ได้แจกใบเหลืองด้วย

ธนวัชร ไม่พอใจคำตัดสิน พอจบครึ่ง เขาเดินลงเข้าไปสู่สนามไปคุยกับผู้ตัดสินแล้วบอกว่า ทำไมไม่แจกใบเหลืองให้คุนญ่า ซึ่งคุนญ่าที่อยู่ตรงนั้นพอดี ได้ยินว่าธนวัชรต้องการให้เขาโดนใบเหลืองให้ได้ จึงเอาน้ำที่ถืออยู่ในมือสาดใส่ธนวัชร

นั่นทำให้ ธนวัชร ฟิวส์ขาดทันที เดินไปตบหัวคุนญ่าหนึ่งผัวะ ซึ่งคุนญ่าก็เอาคืนด้วยการสาดน้ำใส่อีกรอบ เหตุการชุลมุนกันพักใหญ่ จนสุดท้ายมีบานปลาย เมื่อการ์ดรักษาความปลอดภัยของสโมสร สาวหมัดใส่ติอาโก้จนจมูกแตก เลือดออกจากใบหน้า

การที่ติอาโก้สาดน้ำนั้นผิดแน่นอน แต่คนที่โดนด่าหนักกว่าคือธนวัชร เพราะผู้คนมองว่าเขาไม่ควรลงไปที่สนามแต่แรก และการที่เป็นระดับผู้จัดการทีม ก็ควรมีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ไปเอาคืนคู่แข่งของทีมอื่นแบบนั้น

นั่นคือสถานการณ์ที่หนักมาก คือเกมนั้นราชบุรีชนะชลบุรีถึง 5-1 ด้วยฟอร์มที่เยี่ยมมาก แต่กลายเป็นว่าโฟกัสทั้งหมด กลับตกมาอยู่ในเรื่องดราม่าที่เกิดขึ้นกับธนวัชรแทน และสโมสรก็กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของประชาชนไปพักใหญ่

ท้ายที่สุด ธนวัชร ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และเปลี่ยนบทบาทตัวเองไปเป็นรองประธานสโมสร ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเชิงนโยบายแทน

“ตอนนั้นเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีความรู้สึก มีคนมาสาดน้ำใส่เรา ถามว่าเราจะอยู่เฉยๆ ได้ไง” ธนวัชรย้อนความหลัง “จริงๆ ผมเป็นคนที่พร้อมเอาเรื่องคนอยู่แล้ว ถ้าสาดน้ำใส่ผม ผมก็เล่นงานกลับ ถ้าตะโกนใส่ผม ผมก็ตะโกนกลับ”

“แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ได้บทเรียนว่า เออ เราอาจได้ความสะใจ แต่สุดท้ายกลับเป็นเราที่แพ้ในเกมนี้ เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ ชนะแต่แพ้ ทำไปแล้วสะใจก็จริงแต่สุดท้ายกลายเป็นเราที่แพ้ในตอนจบ”

ธนวัชรได้เรียนรู้ว่า การยับยั้งอารมณ์ไม่ได้ ในฐานะผู้บริหาร มันทำให้ทุกอย่างลำบากมาก ซึ่งเหตุการณ์ในเกมกับชลบุรีทำให้เขาเปลี่ยนแนวคิดของตัวเองบางอย่าง มันเป็นประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้

“ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร คุณต้องมีเหตุผล คุณไม่สามารถให้อารมณ์นำทางคุณได้ เพราะคนเราทำผิดพลาดได้เสมอถ้าใช้อารมณ์เป็นตัวนำ สามีภรรยาหย่าร้างกันได้ ตอนใช้อารมณ์ คนเราเสียหายทางธุรกิจยับเยินได้ถ้าใช้อารมณ์ คนบนโต๊ะพนันก็เสียหมดตัวได้ เพราะยับยั้งอารมณ์ไม่เป็น”

“ถามว่าเสียใจไหม ผมเสียใจ แต่มันคือประสบการณ์ ทุกอย่างคือบทเรียน สิ่งสำคัญคือคุณเรียนรู้มัน แล้วจะไปทางไหนต่อ จะเป็นคนแบบเดิม หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

“อยากให้สังเกตว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น ผมเองก็ไม่เดินเข้าสนาม และมีสติขึ้นมาก ในเกมเอฟเอคัพนัดชิงเมื่อปีที่แล้ว ที่เราแพ้ท่าเรือ มีจังหวะที่การตัดสินไม่เข้าข้างเรา แล้วผู้อำนวยการสโมสร โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ไปตะโกนใส่ผู้ตัดสิน เป็นผมที่ดึงตัวเขาไว้ ซึ่งผมรู้ว่าการใช้อารมณ์มันไม่เกิดประโยชน์อะไรจริงๆ”

“จากเหตุการณ์นั้น มันสอนผมว่า อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปเถอะ ถ้าเราอยูในโพสิชั่นนี้ เพราะมันเสียมากกว่าได้ คือถ้าผมเป็นวัยรุ่นทั่วไป ผมอาจพร้อมบวกกับทุกคนแล้ว และก็อาจจบที่คุกที่ตาราง แต่ตอนนี้ผมมีหน้าที่ต้องบริหาร เราต้องรู้ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร”

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น สโมสรฟุตบอลต้องเจอภาระหนักมาก เพราะรายได้ของเกมฟุตบอล เกิดจากการแข่งขัน ถ้าคุณไม่มีแข่ง แล้วจะได้รายได้มาอย่างไร

ขณะที่ค่าใช้จ่ายประจำก็ต้องจ่ายอยู่ เงินเดือนนักเตะ เงินเดือนพนักงาน ค่าดูแลสนาม ค่าบำรุงหญ้า ทุกอย่างเป็นเงินที่ต้องจ่ายไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าไวรัสจะจบลงเมื่อไหร่

“ผมเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า สุดท้ายโควิดมันก็ต้องจบ แม้แต่สงครามโลกยังจบเลย แล้วเรื่องไวรัสแม้จะทำให้ทุกคนลำบากมาก แต่วันหนึ่งมันก็จะผ่านไป” ธนวัชรกล่าว “และพอมันจบปั๊บ ในฐานะคนทำธุรกิจคือเราต้องเดินหน้าต่อได้ทันที โดยไม่สะดุด”

“เรื่องค่าเหนื่อยนักเตะ บางทีมอาจขอนักเตะว่าจะไม่จ่ายเงินเลยในช่วงนี้ แต่เราไม่ทำแบบนั้น เพราะถ้าเราไม่รักษาน้ำใจของคนทำงานด้วยกัน แล้วพอวันหนึ่งฟุตบอลกลับมาเตะ ใครเขาจะอยากให้ใจเราคืนล่ะ”

“ส่วนเรื่องแฟนบอลก็เช่นกัน การที่บอลไม่เตะแบบนี้ มันแปลว่า เราจะไม่มีกิจกรรมอะไรร่วมกับแฟนบอลนานหลายเดือนเลย ดังนั้นเราก็ต้องแก้สถานการณ์ด้วยกิจกรรมอื่นๆ ไป อย่างเช่น กิจกรรมนอกสนาม เรามีการจัดไลฟ์สนุกๆ ในเฟซบุ๊กของสโมสร เพื่อให้แฟนบอลยังได้รู้สึกเชื่อมโยงกับทีมอยู่ เรามีการเอาโค้ชฟิตเนสของเรา มาแนะนำเคล็ดลับการออกกำลังกายที่ถูกต้อง หรือเวลาแฟนบอลสั่งซื้อสินค้าสโมสรผ่านทางออนไลน์ เราก็ให้นักเตะไปเซอร์ไพรส์เอาของไปให้ถึงบ้านเป็นต้น”

ทางธนวัชร ก็ยอมรับว่าไม่มีใครอยากให้โควิดมันเกิด แต่เมื่อมันเกิดแล้ว การตีโพยตีพายไม่เกิดประโยชน์ แต่ต้องหาหนทางฝ่าวิกฤติไปให้ได้ แรกๆ ตัวเขาเองก็เคยรู้สึกเซ็งเหมือนกัน ที่ลีกมาหยุดเอาตอนที่ราชบุรีกำลังฟอร์มดี ชนะ 4 เกมติดต่อกันในลีก อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่า เรื่องสุขภาพของประชาชนสำคัญที่สุด ดังนั้นตัวเอง ต้องรีบปรับจิตใจให้เร็ว และเดินหน้าแก้ปัญหากันไปให้ได้

“เราไม่อยากให้แฟนบอลรู้สึกห่างเหินกับทีม เราเลยอยากทำให้มั่นใจว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ สโมสรจะอยู่ตรงนี้เสมอ และวันที่ฟุตบอลกลับมาแข่ง แฟนๆ ก็จะกลับมาเต็มสนามอีกครั้ง”

มังกร สัญลักษณ์สโมสรราชบุรี มิตรผล เอฟซี หลังปรับรูปแบบใหม่ได้เริ่มใช้ตั้งแต่ฤดูกาล 2562-ปัจจุบัน

ปิดท้ายในการคุยกับธนวัชร เราถามเขาว่า ในช่วง 1 ทศวรรษที่ทำงานในสโมสรราชบุรี มิตรผล เอฟซี อะไรคือข้อคิดสำคัญที่เขาได้เรียนรู้

“ฟุตบอลและสโมสรราชบุรี สอนอะไรผมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจ ในสิ่งที่ตัวเองเคยทำผิดพลาด เมื่อเรายอมรับมันได้ว่าเราทำผิด เราจะก้าวต่อไปและเติบโตขึ้น”

“และอีกเรื่องที่ผมได้เรียนรู้ อันนี้เป็นมุมมองของผู้บริหาร คือเราไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจได้อยู่แล้ว มันไม่แปลกถ้าคุณจะโดนด่า โดนตำหนิ แต่สิ่งสำคัญคือคุณจะรับมืออย่างไร บางคนไปไล่ตามด่าคืน หรือไล่ตอบทุกคอมเมนต์ เพื่อจะอธิบายความเป็นตัวคุณ มันไม่มีประโยชน์”

“คุณแค่รู้ว่าตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ และรับรู้ว่าใครที่เขารักคุณ จากนั้นโฟกัสในสิ่งที่สำคัญกับตัวคุณจริงๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
[/et_pb_text]
[/et_pb_column]
[/et_pb_row]
[/et_pb_section]

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า