SHARE

คัดลอกแล้ว

explainer เป็นเรื่องสั่นสะเทือนโลก เมื่อเจ้าชายแฮร์รี่ แห่งราชวงศ์อังกฤษ และภรรยา เมแกน มาร์เคิล ได้ออกมาเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองอย่างหมดเปลือก เกี่ยวกับสิ่งที่โดนกระทำจากราชสำนักอังกฤษในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร workpointTODAY จะสรุปสถานการณ์ให้เห็นภาพ ใน 15 ข้อ

1) ก่อนที่จะไปเล่าเหตุการณ์ล่าสุด เราต้องอธิบายลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ ของตระกูลวินด์เซอร์กันก่อน ในอนาคตถ้าหากควีนเอลิซาเบ็ธสวรรคต การสืบตำแหน่งกษัตริย์จะเรียงลำดับตามนี้
1- เจ้าชายชาร์ลส์ (ปัจจุบัน อายุ 71 ปี)
2- เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน อายุ 38 ปี)
3- เจ้าชายจอร์จ แห่งเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน อายุ 7 ปี)
4- เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ แห่งเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน อายุ 5 ปี)
5- เจ้าชายหลุยส์ แห่งเคมบริดจ์ (ปัจจุบันอายุ 2 ปี)
6- เจ้าชายแฮร์รี่ ดยุคแห่งซัสเซ็กซ์ (ปัจจุบันอายุ 36 ปี)

ในกลุ่ม 6 คนนี้ ถูกเรียกว่า “ราชวงศ์ชั้นสูง” เพราะมีโอกาสโดยตรงที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขของประเทศต่อจากควีนอลิซาเบ็ธ ดังนั้นการกระทำใดๆ ของราชวงศ์กลุ่มนี้ จึงอยู่ในสายตาของสื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปอยู่เสมอ

2) เจ้าชายวิลเลียม กับเจ้าชายแฮร์รี่ เป็นลูกชายของฟ้าชายชาร์ลส์ โดยเจ้าชายวิลเลียมแต่งงานกับเคท มิดเดิลตัน หญิงสาวชาวอังกฤษ โดยในพิธีสมรส ก็มีความยิ่งใหญ่ อลังการ ผู้คนล้วนยินดี ไม่มีดราม่าอะไรเกิดขึ้น

ขณะที่เจ้าชายแฮร์รี่ จะมีประเด็นให้ถูกพูดถึงมากกว่า เนื่องจากแฟนสาวของเขาคือ เมแกน มาร์เคิล ซึ่งเป็นนักแสดงชาวอเมริกัน โดยในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเชื้อพระวงศ์อังกฤษ ที่แต่งงานกับคนอเมริกันมาก่อน

3) เมแกน มาร์เคิล เป็นสะใภ้ราชวงศ์วินด์เซอร์ที่ผิดขนบธรรมเนียมดั้งเดิมหลายอย่าง เธอมีแม่เป็นแอฟริกัน-อเมริกัน และมีคุณพ่อเป็นดัตช์-ไอริช นั่นทำให้เธอเป็นสะใภ้ในราชวงศ์คนแรกที่ไม่ใช่คนผิวขาว นอกจากนั้น เธอยังมีอายุมากกว่าเจ้าชายแฮร์รี่ถึง 3 ปี รวมไปถึงในสมัยที่เธอเป็นนักแสดงก็เล่นฉากจูบดุเดือดอันเร่าร้อน และถอดเสื้อผ้าในซีรีส์จนเหลือแค่ชุดชั้นในมาแล้ว

ด้วยประวัติที่ไม่ใช่คนเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ของเธอ ส่งผลให้สื่อมวลชนในอังกฤษ จับตามองมาร์เคิลเป็นพิเศษ

4) เจ้าชายแฮร์รี่ เสกสมรสกับเมแกน มาร์เคิล ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2018 จากนั้น 1 ปี ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน ชื่ออาร์ชี่

(FILES) In this file photo taken on June 26, 2018 (L-R) Meghan, Duchess of Sussex, Britain’s Prince Harry, Duke of Sussex and Britain’s Queen Elizabeth II pose for a picture during the Queen’s Young Leaders Awards Ceremony at Buckingham Palace in London. – Queen Elizabeth II is saddened by the challenges faced by her grandson Prince Harry and his wife Meghan, and takes their allegations of racism in the royal family seriously, Buckingham Palace said on March 9, 2021. “The whole family is saddened to learn the full extent of how challenging the last few years have been for Harry and Meghan. The issues raised, particularly that of race, are concerning,” the palace said in a statement released on the queen’s behalf. (Photo by John Stillwell / POOL / AFP)

สำหรับสื่อมวลชนอังกฤษหลายสำนัก มีการเสนอข่าวเรื่องเมแกน มาร์เคิลอย่างหนักหน่วง ตั้งแต่ก่อนเข้าพิธีเสกสมรส ไปจนถึงแต่งงานและคลอดบุตรแล้ว สื่อวิจารณ์เธอในทุกๆย่างก้าว ถ้าหากทำสิ่งใดที่ดูจะผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ตัวอย่างเช่น ตอนที่อาร์ชี่คลอดออกมา เจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิล เลือกรูปพระโอรสที่เห็นเพียงแค่ “เท้า” เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ซึ่งสื่อก็โจมตี เพราะมองว่าประชาชนสมควรจะได้เห็นใบหน้าของพระโอรสจริงๆมากกว่า ไม่ใช่เห็นแค่เท้าแบบนี้

นอกจากนั้น ในพิธีล้างบาปในศาสนาคริสต์ของพระโอรส ตามธรรมเนียมแล้ว ประชาชนจะมีสิทธิได้เป็นสักขีพยานด้วย แต่กรณีของอาร์ชี่ ถูกทำพิธีเป็นการส่วนตัว ไม่อนุญาตให้ประชาชนและผู้สื่อข่าวได้รับรู้ด้วย ซึ่งขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนัก

5) จากนั้น ตัวเมแกน ก็ถูกสื่ออังกฤษโจมตีเรื่อยๆ มิถุนายน 2019 สื่ออังกฤษวิจารณ์เจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน ที่ใช้เงินภาษีจากประชาชนถึง 2.4 ล้านปอนด์ (94 ล้านบาท) เพื่อทำการบูรณะพระตำหนักของตนเอง ในชื่อฟร็อกมอร์ คอตเทจ

ต่อจากนั้น มีการเผยแพร่ข้อมูลออกมาว่า เมแกน สั่งปลดพี่เลี้ยงของพระโอรสถึง 3 คนในช่วงเวลาแค่ 1 เดือนเท่านั้น จนทำให้เมแกน ได้รับฉายาจากคนที่ร่วมงานด้วยว่า Duchess Difficult (ดัชเชสเรื่องเยอะ)
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ใกล้ชิด ที่ถวายงานให้เมแกน ไม่สามารถทนได้ และลาออกไปถึง 3 คน ขณะที่พี่เลี้ยงของพระโอรส ก็ถูกไล่ออกไปถึง 3 คนเช่นกัน ในระยะเวลาแค่ 1 เดือนเท่านั้น

6) เจ้าชายแฮร์รี่ กับ เมแกน มาร์เคิล ถูกสื่อหยิบประเด็นต่างๆมาแฉอยู่บ่อยครั้ง โดยไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่พวกเขาไม่ได้ออกมาตอบโต้เลย จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ออกมาประกาศว่าจะฟ้องร้องหนังสือพิมพ์เมล ออน ซันเดย์ ที่ให้ข่าวบิดเบือน

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเจ้าชายแฮร์รี่จะทำการต่อสู้กับสื่ออังกฤษ แต่พี่ชายแท้ๆ อย่างเจ้าชายวิลเลียมกลับไม่ได้ออกมาปกป้องเจ้าชายแฮร์รี่อย่างที่เขาคาดหวัง จนบรรยากาศระหว่างทั้ง 2 คนเต็มไปด้วยความตึงเครียด

7) ในวันที่ 21 ตุลาคม 2019 สถานีโทรทัศน์ช่อง ITV เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของเจ้าชายแฮร์รี่ โดยระบุว่า “เราสองพี่น้อง มีทั้งวันที่ดี และวันที่แย่ เรายังเป็นพี่น้องกันเสมอ แต่ขณะนี้เรามีเส้นทางเดินที่แตกต่างกัน”

การออกมาพูดแบบนี้ บีบีซีรายงานว่า เจ้าชายวิลเลียมทรงกริ้วอย่างมาก ที่เอาเรื่องภายในครอบครัวไปเผยแพร่กับคนทั้งโลกแบบนั้น ทั้งคู่เริ่มมีรอยร้าวให้เห็น เจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน ประกาศลาออกจากมูลนิธิการกุศลที่เคยอยู่ร่วมกับเจ้าชายวิลเลียม

8) ความอึดอัดในประเด็นต่างๆ สุดท้าย วันที่ 8 มกราคม 2020 เจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน ประกาศว่าพวกเขาจะขอ “ถอนตัว” ออกจากการเป็นราชวงศ์ชั้นสูง และจะจัดการเรื่องการเงินของตัวเอง โดยไม่รับเงินที่รัฐบาลอังกฤษมอบให้ราชวงศ์ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ สื่อใช้คำว่า Megxit เป็นการรวมกัน ของคำว่า Meghan กับ Exit เป็นคำที่ล้อไปกับคำว่า Brexit นั่นเอง

9) วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021 สำนักพระราชวังบัคกิงแฮม แถลงการณ์ว่า เจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน จะไม่กลับไปทรงงานในฐานะสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอีกต่อไป และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองคน จะถูกเพิกถอนจนหมด อย่างไรก็ตาม เจ้าชายแฮร์รี่ ยังจะอยู่ในลำดับที่ 6 ของการสืบราชวงศ์อังกฤษเหมือนเดิม

10) การที่ทั้งคู่เอาตัวออกมาจากการเป็นราชวงศ์ชั้นสูงนั้น ทำให้มีความยืดหยุ่นในการทำอะไรๆได้มากขึ้น และในวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งสองคนได้ไปออกรายการสัมภาษณ์พิเศษของโอปราห์ วินฟรีย์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS และระบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในใจจนหมดสิ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ทั้งคู่เล่าเรื่องมากขนาดนี้ จากเดิมที่มักจะถูกเป็นฝ่ายพูดถึงจากสื่อมวลชนเสียมากกว่า

สำหรับคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในรายการของโอปราห์ มีดังนี้

[ การเป็นราชวงศ์ยากกว่าที่คิด ]
โอปราห์ : ทุกคนรู้ว่าการแต่งงาน ไม่ได้แค่แต่งกับคนรัก แต่ต้องไปใช้ชีวิตในครอบครัวอีกฝ่ายด้วย แต่กรณีของคุณต้องไปใช้ชีวิตในสถาบันกษัตริย์ที่มีอายุ 1,200 ปี ความรู้สึกมันเป็นอย่างไรบ้าง
เมแกน : ฉันคิดตื้นเขินเกินไป ฉันไม่ได้หาข้อมูลหรือเตรียมตัวใดๆไปเลย เพราะแฮร์รี่เขาจะบอกแค่ในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องรู้ ฉันไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ว่าการเป็นราชวงศ์ต้องทำอย่างไร ในฐานะคนอเมริกัน คุณอาจเคยอ่านเทพนิยาย แต่ภาพความจริงมันต่างจากที่คิดมากนัก และใน 2-3 ปีหลังนี้มันยิ่งยากขึ้น ไม่มีทางที่จะอธิบายให้คนเข้าใจได้ง่ายๆ

[ การสูญเสียตัวตนหลังจากเป็นราชวงศ์ ]
เมแกน :
ฉันทำงานมาตลอดชีวิต ฉันเป็นคนให้คุณค่ากับความอิสระอย่างที่สุด ฉันอยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดเสมอ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิสตรี แต่ใน 4 ปี ที่อยู่ในราชวงศ์ ทั้งๆที่จุดยืนของฉัน คือสนับสนุนให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาพูดแท้ๆ แต่กลายเป็นว่า ฉันเองที่กลับไม่พูดอะไรเลย
โอปราห์ : คุณเลือกจะไม่พูดเอง หรือถูกสั่งให้ไม่พูด
เมแกน : อย่างหลัง
โอปราห์ : ฉันไม่เข้าใจราชวงศ์นะ หมายถึงเขาสั่งให้คุณเงียบ ห้ามพูดกับสื่อมวลชนอะไรแบบนี้หรือ
เมแกน : ฉันทำตามทุกอย่างที่ราชวงศ์บอกให้ทำ เพราะฉันเชื่อในสิ่งที่ว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้วราชวงศ์จะปกป้องคุณทุกอย่างเอง ดังนั้นฉันก็เลยไม่พูดอะไรกับสื่อเลย แต่ก็เป็นเพื่อนของฉันนี่แหละ ที่จะโทรมาบอกว่า ‘เมแกน นี่มันแย่แล้วนะ’ ข่าวสารที่คนพูดถึงบางเรื่องก็ไปกันใหญ่แล้ว

[ มีตัวตน แต่ไม่มีตัวตน ]
เมแกน : การอยู่ในราชวงศ์ ฉันไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ใจคิด ฉันเคยถามว่า ‘ฉันจะไปกินข้าวกับเพื่อนได้ไหม’ คำตอบคือไม่ได้ เพราะฉันจะโดนจับตามองจากคนทั่วไป ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดถ้าฉันจะไม่ออกไปเจอใครเลย สุดท้าย ฉันก็ไม่ได้ออกจากบ้านนานหลายเดือน และขนาดฉันไม่ได้ไปไหนขนาดนี้ มีคนในราชวงศ์พูดกับฉันว่า ‘ทำไมช่วงนี้เธอไม่อยู่เงียบๆสักหน่อยล่ะ เพราะไปไหนก็เจอหน้าเธอไปหมด’ ฉันเลยตอบกลับไปว่า ‘ในรอบ 4 เดือน ฉันออกจากบ้าน 2 ครั้ง ฉันเหมือนอยู่ทุกที่ แต่จริงๆ ฉันไม่ได้ไปไหนสักที่เลย’

[ ลูกชายโดนกดดันจากสีผิว ]
โอปราห์ : คุณน่าจะเคยได้ยินที่คนเขาพูดกัน ว่าอาร์ชี่ ลูกชายของคุณจะโดนปฏิบัติอย่างไร จะได้รับการแต่งตั้งยศเป็นเจ้าชายหรือไม่ เพราะคุณเป็นลูกครึ่งแอฟริกันอเมริกัน
เมแกน : ตอนฉันตั้งครรภ์ มีบทสนทนาเกิดขึ้นจริงๆ ว่า ‘เขาอาจจะไม่ได้รับการดูแลอย่างราชวงศ์คนอื่น และอาจจะไม่ได้ยศเป็นเจ้าชาย’ โดยมีการคุยกันว่า ต้องดูว่าผิวของอาร์ชี่ จะสีเข้มแค่ไหนตอนที่เขาเกิดขึ้นมา
โอปราห์ : อะไรนะ เดี๋ยวนะ ใครพูดประโยคนี้ขึ้นมา
เมแกน : มีคนคุยเรื่องนี้กับแฮร์รี่
โอปราห์ : เรื่องเด็กทารกจะมีผิวสีเข้มแค่ไหนเนี่ยนะ? คุณจะไม่บอกใช่ไหม ว่าใครพูดขึ้นมา
เมแกน : ถ้าฉันบอกไป พวกเขาจะได้รับความเสียหายหนักมากทีเดียว

[ ออกจากราชวงศ์เพื่อภรรยา ]
โอปราห์ : คุณคิดว่า คุณจะออกจากราชวงศ์หรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำเพื่อเมแกน
แฮร์รี่ : ไม่ คำตอบคือ ผมคงไม่ทำแบบนั้น เอาจริงๆคือ ผมคงทำไม่ได้ เพราะตัวผมเองติดอยู่ ณ จุดนั้น ไม่สามารถเห็นทางออกใดๆได้ มันเหมือนผมติดกับดัก แต่ไม่รู้ตัวว่าตกอยู่ในกับดัก พอผมได้เจอเมแกน จากนั้นโลกของเราก็ได้เปลี่ยนไปในทางที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
โอปราห์ : เจ้าชายแฮร์รี่ ได้โปรดอธิบายหน่อย คุณถูกเลี้ยงในราชวัง มีชีวิตอย่างหรูหราอย่างเจ้าชาย แล้วทำไมรู้สึกเหมือนไร้ทางออกแบบนั้น
แฮร์รี่ : ผมติดอยู่กับระบบ ที่ครอบครัวของผมต้องอยู่กับมันตลอดไป พ่อของผม พี่ชายของผม ทุกคนอยู่ภายใต้ระบบและไม่สามารถเอาตัวออกมาได้ ผมรู้สึกเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

[ ไม่สนใจว่าราชวงศ์จะคิดอย่างไร ]
โอปราห์ : คุณว่าราชวงศ์จะรู้สึกอย่างไร ที่คุณเอาความจริงมาเปิดเผยในวันนี้ คุณไม่กลัวกระแสตอบโต้จากฝั่งนั้นหรือ
เมแกน : ฉันไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความกลัวหรอกนะ การที่ออกมาพูดวันนี้ ฉันคิดทบทวนดีแล้ว และอยากให้เข้าใจกันว่าความจริงมันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าบทบาทฉันยังเห็นเหมือนเดิม ฉันก็คงจะนั่งเงียบๆ ทำตามในสิ่งที่ราชวงศ์คาดหวัง

11) สำหรับสถานการณ์ในเวลานี้ แฮร์รี่ กับ เมแกน ย้ายไปอยู่ที่เมืองซานตาบาบาร่า ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับลูกชายอาร์ชี่ บิทเทนคอร์ต-วินด์เซอร์ ที่ไม่ได้รับยศเป็นเจ้าชาย และลูกสาวอีกหนึ่งคนที่อยู่ในครรภ์ของเมแกน

ขณะที่เรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งสองคนจะไม่ได้รับเงินสนับสนุนในฐานะราชวงศ์อังกฤษแล้ว แต่ล่าสุด แฮร์รี่ กับเมแกน เพิ่งเซ็นสัญญากับเน็ตฟลิกซ์ และ สปอติฟาย เพื่อจัดทำรายการใหม่ โดยเชื่อว่าจะเอาแง่มุมของราชวงศ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟมาเปิดเผย โดยประเมินในเบื้องต้นทั้งคู่จะได้เงินก้อนโตถึง 25 ล้านดอลลาร์

12) สำหรับประเด็นใหญ่ในการสัมภาษณ์ของเมแกนและแฮร์รี่ คือเรื่องบรรยากาศในราชวงศ์ที่ยังมีประเด็นเรื่องการเหยียดผิวกันอยู่ โดยเฉพาะสีผิวของอาร์ชี่ ที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็น โดยหลายคนก็วิจารณ์ว่า นี่มันปี 2021 แล้ว ทำไมถึงยังมีประเด็นรังเกียจกันเรื่องเด็กจะสีผิวอะไรอยู่อีก

13) อแมนด้า กอร์แมน กวีสาวคนดังที่ไปกล่าวในพิธีสาบานตนของโจ ไบเดน ทวีตข้อความว่า “การเข้ามาของเมแกนเป็นโอกาสดีที่สุดของราชวงศ์ที่จะเปลี่ยนตัวเอง และเดินหน้าสู่ยุคใหม่ แต่พวกเขาไม่เห็นโอกาสนั้น และพลาดมันไปอย่างน่าเสียดาย”

ขณะที่ ฮิลลารี่ คลินตัน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ คอมเมนต์ว่า “เด็กสาวคนนี้ถูกสั่งให้เงียบ และกดหัวเอาไว้ แต่คุณรู้ไหม นี่มันปี 2021 แล้วนะ”

14) การออกมาพูดครั้งนี้ ของเมแกน กับแฮร์รี่ สร้างความสั่นสะเทือนให้อังกฤษเป็นอย่างมาก เพราะภาพลักษณ์ของราชวงศ์ดูติดลบลงไป จากประเด็นสีผิว นอกจากนั้น ยังเกิดกระแสขึ้นมาอีกครั้งที่อังกฤษว่า การมีอยู่ของระบบกษัตริย์อังกฤษ ยังมีความจำเป็นอีกหรือไม่ โดยฝ่ายสนับสนุนกล่าวว่านอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศแล้ว ก่อนช่วงโควิด-19 อังกฤษทำรายได้จากการท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับราชวงศ์อย่างมหาศาล โดยมีนักท่องเที่ยวถึง 2.7 ล้านคนต่อปี เข้ามาชมบักกิ้งแฮม พาเลซ และ ปราสาทวินด์เซอร์

อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ต่อต้านชี้ว่า ทุกๆปี รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณส่วนพระมหากษัตริย์เป็นจำนวนมาก โดยในปี 2019 รัฐต้องจ่ายเงิน 82.2 ล้านปอนด์ (3508 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้สถาบันกษัตริย์ โดยเฉลี่ยแล้วประชาชนของสหราชอาณาจักร ต้องจ่ายภาษีส่วนนี้ คนละ 1.24 ปอนด์ ซึ่งคนอังกฤษส่วนหนึ่งก็ตั้งคำถามว่า แล้วทำไมประชาชนต้องจ่ายเงินก้อนนี้ด้วย

15) ล่าสุดมีนักข่าวไปถาม นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร บอริส จอห์นสัน ว่าคิดเห็นอย่างไรบ้าง โดยจอห์นสันได้ตอบว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ สิ่งดีที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะพูดได้ คือไม่พูดอะไรเลย”

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า