SHARE

คัดลอกแล้ว

Opinion กระแสสังคมเรื่อง มิ้นท์ I Roam Alone กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่แบ่งความคิดคนไทยเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน

มีทั้งฝ่ายที่โจมตีมิ้นท์อย่างรุนแรง กับฝ่ายที่ออกมาปกป้องอย่างเข้มแข็ง และเรื่องนี้ ได้กลายเป็นเทรนด์ทวิตเตอร์ในประเทศไทยติดต่อกันถึง 2 วันซ้อน คำถามคือ เราควรจะยืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่?

มิ้นท์คือใคร? เธอมีชื่อจริงว่า มณฑล กสานติกุล เป็นที่รู้จักในฐานะบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวที่เริ่มจากงานเขียนและถ่ายรูป ก่อนที่จะผันตัวมาทำวีดีโอเป็นยูทูบเบอร์ จุดเด่นของเธอคือการไปท่องเที่ยวในสถานที่แปลกๆ ทั่วโลกด้วยตัวคนเดียว เป็นผู้หญิงที่ไปเผชิญวัฒนธรรมใหม่ๆ ในประเทศที่เราไม่คุ้นหู อย่างเมาริทาเนีย, บูร์กินาฟาโซ, แซมเบีย หรือ หมู่เกาะอโซเรส กลางมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นต้น คือด้วยความเป็นผู้หญิงคนเดียวกล้าลุย และมีมุมมองไม่เหมือนใคร ทำให้เธอได้รับความนิยมสูงมาก

ปัจจุบันเพจ I Roam Alone ของเธอ มีผู้ติดตามในเฟซบุ๊กมากถึง 4.9 ล้านคน เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการท่องเที่ยวอย่างมาก เธอลงโพสต์อะไรสักอย่าง คนกดไลค์ระดับ 1 แสน เป็นเรื่องปกติ ค่าตัวของเธอในโฆษณาที่ไท-อินกับเพจ ก็มีราคามหาศาลมาก ดังนั้นไม่แปลกที่ทุกคำพูด ถ้ามาจากปากของมิ้นท์ I Roam Alone จะได้รับการจับจ้องอย่างมากจากคนทั่วไป

ในช่วงโควิด-19 มิ้นท์ เดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ เพราะทุกๆประเทศ ปิดพรมแดนกันหมด ดังนั้นเธอจึงต้องทำคอนเทนต์เที่ยวไทยเป็นหลักแทน เช่น ไปน่าน พังงา ทุ่งกุลาร้องไห้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามในมุมของบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวต่างประเทศ เธอย่อมโหยหาการเดินทางไกล ตัวตนของเธอจริงๆ คือสายต่างประเทศมากกว่านั่นแหละ

ข่าวดีของมิ้นท์คือ ณ เวลานี้ เริ่มมีข่าวว่าประเทศในยุโรป เตรียมเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่มีเงื่อนไขคือนักท่องเที่ยวคนนั้น ต้องได้วัคซีนยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) หรือ องค์การอนามัยโลก (WHO) เท่านั้น ซึ่งว่าง่ายๆก็คือถ้าคุณฉีด Pfizer, Moderna, Johnson and Johnson, AstraZeneca หรือ Sinopharm คุณจะมีสิทธิ์ไปท่องยุโรปได้

ในมุมของบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว หากมีโอกาสได้บินไปสร้างคอนเทนต์ที่ทวีปยุโรป ใครล่ะจะไม่อยากคว้าโอกาสไว้ แต่ปัญหาสำคัญที่มิ้นท์ต้องเจอคือ ในประเทศไทยเรามีวัคซีนแค่ 2 ยี่ห้อ อันแรกคือ Sinovac ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก EMA และ WHO ส่วนอันที่สองคือ AstraZeneca ซึ่งโรงงานของสยามไบโอไซเอนส์ จะทยอยผลิตเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ แต่ด้วยปริมาณที่ผลิตไม่มากนัก หากเทียบกับจำนวนประชากร ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคุณลงทะเบียนไปแล้วจะได้รับ AstraZeneca

คือในวันฉีดจริงๆ คุณอาจจะได้ Sinovac ก็ได้ ส่วนวัคซีนทางเลือกอย่างพวก Moderna ที่มีข่าวว่าเอกชนจะนำเข้า ก็เป็นแค่ไอเดีย ยังไม่มีการกำหนดชัดเจนว่าจะเข้าไทยเมื่อไหร่
ดังนั้นก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร ที่มิ้นท์จะตัดสินใจเดินทางไปสหรัฐอเมริกา จุดประสงค์หลักคือไปฉีดวัคซีนนั่นแหละ เธอเองก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปหรอก ที่อยากได้ Pfizer หรือ Moderna ซึ่งเป็นวัคซีนคุณภาพสูงสุดทันทีแบบไม่ต้องรอ

เมื่อมีวีซ่าทุกอย่างครบแล้ว มิ้นท์เดินทางจากไทยถึงอเมริกา และด้วยความเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทำให้เธอถ่ายวีดีโอการเดินทางจากสุวรรณภูมิถึงนิวยอร์ก แล้วโพสต์คลิปลงในยูทูบของตัวเอง ในวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งดราม่าสำคัญก็เกิดขึ้นในช่วงท้ายคลิปนี้นั่นเอง เพราะมิ้นท์พูดประโยคว่า

“การได้ออกมาจากประเทศไทยในรอบ 1 ปี ได้มาอยู่ในที่ ที่ไม่ใช้ภาษาของเรา ได้มองไปสองข้างทางที่มันไม่คุ้นเคย ซึ่งมันคือสิ่งที่มิ้นท์ทำอยู่ตลอดในปีก่อนหน้านี้ จนลืมว่ามันพิเศษขนาดไหนไปแล้ว พอถึงวันนี้เป็นความรู้สึกที่พิเศษมากๆ มิ้นท์ว่า สิ่งดีข้อเดียวของโควิดคือทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราเคยมี และมองเห็นความพิเศษในความธรรมดา”

สิ่งที่มิ้นท์ต้องการสื่อคือ เธอเป็นบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว เธอไปต่างประเทศจนเป็นเรื่องปกติ จนหลังๆดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ ที่ต้องไป มากกว่าไปเพราะแพสชั่นส่วนตัวเหมือนช่วงแรกที่เปิดบล็อก
แต่เมื่อไม่ได้ไปต่างประเทศ 1 ปี เต็ม เธอจึงรู้สึกว่า “แค่ได้ไปมองสองข้างทางที่ไม่คุ้นเคย”  ได้ไปต่างบ้านต่างเมือง เธอก็รู้สึกพิเศษมากๆแล้ว

ดังนั้นข้อดีอย่างเดียวของโควิดที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ นั่นคือทำให้เธอได้กลับมามีแพสชั่นกับการท่องเที่ยวต่างประเทศอีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้ เธอไปบ่อยเสียจนรู้สึกมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวมิ้นท์เอง อารมณ์เหมือนที่เราพูดกันเล่นๆนั่นแหละว่า ข้อดีของโควิดคือทำให้เราปลุกวิญญาณเชฟขึ้นมา เพราะต้องล็อกดาวน์อยู่บ้านเลยทำอาหารเก่งซะเลย ทั้งหมดนี้ มันเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ถ้าใครจะรู้สึกดีกับโควิดเพราะอะไร ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน

แต่มันก็มีดราม่าเกิดขึ้น กับคำว่า “สิ่งดีข้อเดียว” ที่มิ้นท์พูดขึ้นมา เพราะมีคนส่วนหนึ่งในโลกออนไลน์ ตำหนิมิ้นท์ว่า ใช้คำว่าโควิดมีข้อดีได้อย่างไร ไม่ได้ดูเลยหรอว่า ในโลกมีคนลำบากมากมาย ต้องตกงาน ต้องพลัดพรากจากครอบครัวเพราะโควิดระบาด จากนั้นโยงไปที่เรื่องฐานะของมิ้นท์ว่า ใช่สิ ก็คุณร่ำรวยมีเงินบินไปฉีด Pfizer ที่อเมริกานี่ คุณก็มองข้อดีได้สิ ลองนึกถึงใจคนไม่มีจะกินบ้างไหม

บางคนด่าว่ามิ้นท์เป็นพวก Ignorant เมินเฉยต่อความลำบากของผู้อื่น ไม่สนใจปัญหาเรื่องโครงสร้างใดๆของสังคม ขณะที่กรุณา บัวคำศรี นักข่าวต่างประเทศคนดัง ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า “สำหรับบางคน โควิดคือความไม่สะดวกในการใช้ชีวิต ไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้เหมือนเคย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ โควิดคือสิ่งที่พรากชีวิต ศักดิ์ศรีและความฝัน โควิดไม่มีข้อดี”

มิ้นท์โดนวิจารณ์ว่า ไวรัสอย่างโควิด คุณไม่ต้องไปหาข้อดีให้มันก็ได้ มันคือความเลวร้ายที่อุบัติขึ้น ก็จงยอมรับเถอะว่ามันคือความเลวร้าย อย่าทำตัวโลกสวยเกินจริง

จากประเด็นนี้ ทำให้มีการโยงไปที่เรื่องอื่นด้วย เช่น ที่ผ่านมามิ้นท์ไม่เคย Call Out เรื่องการเมืองอย่างจริงจัง มีเคยไปม็อบบ้าง และพูดเรื่องศาลไม่ยอมให้ผู้ต้องหาประกันตัว แต่ในเรื่องการเมืองกับรัฐบาลชุดนี้ ไม่เคยเปิดหน้าวิจารณ์และทำประเด็นขับเคลื่อนสังคม ทั้งๆที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก สามารถสร้างอิมแพ็กต์ในวงกว้างได้

เมื่อโดนดราม่าหนักๆ มิ้นท์เลยต้องออกมาแก้สถานการณ์ด้วยการโพสต์คำขอโทษ โดยกล่าวว่า “มิ้นท์ขอโทษด้วยนะคะถ้าสิ่งที่พูดออกมากระทบจิตใจของคนหลายๆคนในสถานการณ์นี้โควิดไม่มีข้อดีเลยล่ะ ในความหมายของคลิป คือการได้เดินทางอีกครั้งมันพิเศษมากๆเท่านั้นเลยค่ะ เพราะมิ้นท์มีอาชีพเป็นนักเดินทาง พอโควิดมาก็แย่เหมือนกัน แต่ก็เทียบไม่ได้กับการสูญเสียของคนอื่นๆ ยังไงขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ขอโทษจริงๆค่ะ”

เรื่องของมิ้นท์ถึงตรงนี้ก็เริ่มซาแล้ว แต่ก็มีข้อสังเกต 5 อย่างที่เราควรนำมาคิดต่อ

ข้อที่ 1 คือ เราสามารถมองโลกในแง่บวกได้หรือไม่? คือเราแสดงออกได้ไหม ว่าเราเห็นข้อดีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในวิกฤติครั้งนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพยายามมองโลกในแง่ดี เราจะกลายเป็นคนไม่ดี ที่ไม่คิดถึงจิตใจของเพื่อนมนุษย์คนอื่นทันที

สมมุติบางคนบอกว่า วิกฤติโควิดมีข้อดีคือ ทำให้ภาครัฐรู้จักการทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้นแทนที่จะให้ประชาชนไปนั่งรอต่อคิวเหมือนในอดีต , ทำให้มีเวลาใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้นจากที่เมื่อก่อนทำงานแต่งานตลอด หรือ ทำให้เรารู้สึกเห็นคุณค่าของการมีเงินเก็บในยามฉุกเฉิน อนาคตถ้าจบโควิดแล้ว จะได้วางแผนการเงินให้ดีๆต่อไป เราสามารถพูดได้ไหมถ้าเรารู้สึกว่ามันข้อดีบางอย่างกับตัวเราจริงๆ หรือเราไม่ควรแสดงออกในแง่บวกใดๆทั้งสิ้น เพราะในสังคมยังมีคนลำบากกว่าเราตั้งเยอะ

ข้อที่ 2 คือถ้าเรามีเงินเพื่อเลือกซื้อสิ่งที่ดีที่สุด เราควรจะซื้อมันไหม? ถ้าเรามีเงินบินไปอเมริกา เพื่อไปได้รับวัคซีนคุณภาพสูงสุดได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ เราควรจะใช้ข้อได้เปรียบตรงนั้นหรือไม่ หรือเราควรจะอยู่รอที่ประเทศไทยเหมือนคนส่วนใหญ่ แล้วรอรับวัคซีนใดๆก็ตามที่รัฐบาลเลือกให้ แต่กว่าจะได้รับการฉีดจริงๆสำหรับบุคคลทั่วไป ก็อาจจะเป็นในช่วงเดือนสิงหาคม หรือกันยายนเป็นต้นไป
การใช้เงินที่มี ซื้อสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเอง เป็นเรื่องผิดไหม หรือมันทำให้คนที่ไม่มีทุนทรัพย์ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือเปล่า

ข้อที่ 3 คือในช่วงเวลาที่อ่อนไหว คำพูดใดๆ ก็ตามของคนที่เป็นเซเล็บ ย่อมมีผลกับคนหมู่มากเสมอ อย่างกรณีของมิ้นท์ ตัวเขาอาจจะพูดถึง “ข้อดี” ในมุมที่ตัวเองเผชิญ แต่มันก็ไปกระทบกับคนอีกส่วนหนึ่ง ที่มองไม่เห็นข้อดีใดๆทั้งสิ้น เลยกลายเป็นดราม่าขึ้นมา ดังนั้นในช่วงวิกฤติแบบนี้ ถ้าเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เป็นเซเล็บในประเทศไทย คุณอาจต้องเลือกวิธีเพลย์เซฟหน่อย ระมัดระวังตัวให้มากๆ ในทุกคำที่สื่อออกไป
มีคนแนะนำว่าจะดีกว่าถ้ามิ้นท์ใช้คำว่า “ข้อคิดที่ได้จากโควิด” แทนที่จะใช้คำว่า “ข้อดีที่ได้จากโควิด” เปลี่ยนแค่คำเดียวเธอก็คงไม่ต้องเผชิญกับดราม่าแล้ว นี่ก็เป็นบทเรียนที่ดีว่าการ “เลือกใช้คำ” มันสำคัญจริงๆ
สุดท้ายแล้วคุณมีสิทธิ์จะพูดอะไรก็ได้ และคนเสพคอนเทนต์ก็มีสิทธิ์จะชอบหรือไม่ชอบคุณก็ได้ ถ้าคุณอยากให้มีแต่คนรัก ก็ต้องเลือกใช้คำที่ถูกต้องที่สุด แต่ถ้ายอมรับว่าไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกพอใจได้ ก็แสดงออกในสิ่งที่ตัวคุณเป็น แค่นั้นจริงๆ

ข้อที่ 4 มีบางคนวิจารณ์ว่า การมองบวก จะทำให้เราละเลยปัญหาจริงๆที่ซ่อนอยู่ คือใช้การมองโลกในแง่ดีเป็นการกลบเกลื่อนไป ประเด็นคือถ้าเรามองพยายามมองโลกในแง่ดีจากสถานการณ์เลวร้าย แปลว่า เรากำลังจะละเลยต้นตอของปัญหาอย่างนั้นหรือเปล่า?

และข้อที่ 5 เป็นข้อสังเกตว่าทำไมคนพูดถึงข้อดีของวิกฤติโควิดที่ต่างประเทศ แล้วไม่มีดราม่า แต่ทำไมคนพูดถึงข้อดีของวิกฤติโควิดที่ไทยแล้วมีดราม่า

งานวิจัยทั้งหลาย และสื่อมวลชนต่างประเทศพูดถึง Bright Side of Covid กันไม่น้อย ขณะที่เซเล็บหลายๆคน ออกมายอมรับ ว่าตัวเองเจอข้อดีบางอย่างในช่วงโควิด ตัวอย่างเช่น ทูเรีย พิตต์ เซเล็บของออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ว่าโควิดทำให้เธอได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น “ในช่วงโควิดนี้ เอาจริงๆ มันกลับดีกับตัวฉันเองนะ ฉันรู้ว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอเรื่องดีๆ ฉันรู้ว่าหลายคนต้องตกงาน และคนในโลกต้องเจอสถานการณ์ลำบาก แต่สำหรับตัวฉัน ฉันรู้สึกดี”

แต่ที่ไทยการพูดถึงข้อดี มุมสว่างใดๆ กลับเกิดแรงกระแทกได้ง่ายมาก สิ่งที่น่าสนใจคือ อะไรเป็นความแตกต่างระหว่างที่ไทยกับต่างประเทศ?

เป็นไปได้ไหมว่า ที่ต่างประเทศเขารู้ว่าอีกไม่นานปัญหาโควิดก็จะหมดไป วัคซีนเดี๋ยวก็ได้รับกันทั่วถึง จึงพยายามบอกให้ประชาชนฮึดสู้ไว้ก่อน มองในด้านบวกไว้ เดี๋ยวฟ้าหลังฝนก็มาถึง แต่ตรงข้ามกับที่ไทย เราไม่รู้ว่าอนาคตของบ้านเมืองเรา จะมีแสงสว่างได้ตอนไหน วัคซีนจะได้ครบเมื่อไหร่

AstraZeneca ที่บอกว่าจะผลิตได้เยอะ จะผลิตได้อย่างที่กล่าวอ้างจริงๆ หรือเปล่า คือเมื่อมันมืดแปดด้านขนาดนี้ สังคมส่วนหนึ่งก็เลยคาดหวังให้อินฟลูเอนเซอร์ ชี้ให้เห็นความลำบาก ความทุกข์ยากเข้าไว้ เพื่อที่ภาครัฐจะได้ไม่ลอยตัว และตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีขึ้น

เอาล่ะ ณ เวลานี้ เรื่องทุกอย่างก็ยังถกเถียงกันต่อไป สำหรับมิ้นท์ก็มีทั้งคนปกป้องและคนด่า

ในมุมของคนปกป้อง ก็ชี้ว่า เฮ้ย คุณจะมาไล่บี้กับคำพูดของคนทั่วไปทำไม แทนที่จะไปโฟกัสที่การทำงานของรัฐบาล และการจัดการของภาครัฐ แต่มานั่งจับผิดคำพูดของบล็อกเกอร์กับประโยคว่า “สิ่งดีข้อเดียว” เนี่ยนะ ไล่บี้มิ้นท์ไป แล้วก็ไม่เห็นจะทำให้สังคมในองค์รวมดีขึ้นสักหน่อย เป็นตำรวจคุณธรรมหรือไง

ในทวิตเตอร์ มีทวีตหนึ่ง เขียนไว้ว่า “ถ้าผมบอกว่าข้อดีของประยุทธ์อย่างเดียว คือทำให้รู้ว่าชีวิตก่อนหน้าจะมีประยุทธ์มันดีแค่ไหน แบบนี้จะหาว่าผมชื่นชมประยุทธ์หรือเปล่าล่ะ มันอยู่ที่บริบทของประโยคด้วย”

ส่วนในมุมของคนด่าก็บอกว่า แต่คุณเป็นอินฟลูเอนเซอร์นะ คุณได้รับสิทธิพิเศษมากมาย ได้รับเงินทอง ได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว จะพูดจะจาอะไรก็คิดเยอะๆหน่อย ไม่ใช่เอาแต่สนใจตัวเองเรื่องว่าจะได้เที่ยวต่างประเทศหรือเปล่า คนลำบากในบ้านเมืองนี้ก็เยอะแยะ

หลังจากผ่านมา 2 วัน มิ้นท์ก็ฉีด Pfizer เรียบร้อยแล้ว และสังคมก็เตรียมมูฟไปเรื่องอื่นต่อ ซึ่งเอาจริงๆ คนที่ผิดหวังในตัวมิ้นท์แล้วอันฟอลโลว์ก็มี แต่คนที่ยังชื่นชมและซัพพอร์ตต่อก็มีเช่นกัน

สุดท้ายแล้วในปรากฏการณ์นี้ เราต้องพยายามทำความเข้าใจในทุกๆมุม เพราะผู้คนกำลังอึดอัด คับแค้น กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ดังนั้นกระแสที่กระแทกไปยังตัวมิ้นท์จึงมีความรุนแรงมาก แต่ในอีกมุม การเข้าใจมิ้นท์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเธอยืนยันว่า คำว่า “สิ่งดีข้อเดียว” ที่เธอพูดนั้นเป็นมุมของเธอเองคนเดียว เธอเข้าใจดีว่าคนมากมายต้องเจอความลำบากกับโควิดครั้งนี้

บทสรุปของเรื่องนี้ คือการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ย่อมมีราคาของมัน เพราะคุณมีคนติดตามเป็นล้าน ไม่ว่าจะทำผิดหรือถูก การกระทำใดๆย่อมมีอิมแพ็กต์ต่อสังคมในวงกว้างอยู่แล้ว และอนาคตต่อไป ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงประเด็นขัดแย้ง การเลือกใช้คำ ก็อาจยิ่งต้องระมัดระวังมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

======

บทความโดย : วิศรุต สินพงศพร

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า