Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

หลังจากกระแส #MeToo ในแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดจุดติดในปี 2017 จากการเปิดโปง ฮาร์วี่ย์ ไวน์สตนีน ผู้บริหารค่ายหนังไวน์สตีนคอมพานี (Weinstein Company) ว่าก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงในวงการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังจำนวนมาก จนเหยื่ออดทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นมาถอนหงอกตาแก่ขี้หื่น ตั้งแต่นั้นมาสภาพการณ์ของวงการหนังทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง 

Little Women

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ บทบาทของนักทำหนังผู้หญิงในตำแหน่งต่างๆ เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เกิดหนังที่เล่าถึงแง่มุมของผู้หญิงที่หลายคนอาจไม่เคยสนใจมาก่อน แล้วกลายเป็นของฮิต มีหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องกำกับโดยผู้หญิง และมีตัวเอกเจ้าของเรื่องเป็นผู้หญิง เกิดพื้นที่ให้สตรีเพศจำนวนมากได้เปล่งประกายว่า ตัวฉันเองก็มีความสามารถไม่แพ้ผู้ชายที่เคยครองพื้นที่นี้อย่างเหนียวแน่นตลอดมา

แต่สำหรับบนเวทีรางวัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัลออสการ์ พื้นที่ตรงนั้นอาจเปิดกว้างน้อยเกินไปจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นประจำ ล่าสุดก็หลังจากการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา หลายคนตกใจไม่น้อยเมื่อ Little Women (2019) หรือ “สี่ดรุณี” ผลงานการกำกับของผู้กำกับสาวเก่งมาแรง เกรต้า เกอร์วิก เรื่องนี้แม้จะได้เข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัลนำโดยรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม แต่พลาดการเข้าชิงออสการ์สาขาสำคัญอย่างผู้กำกับยอดเยี่ยมไปอย่างน่าเสียดาย

จากเหตุการณ์นี้แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้หญิงทั่วฮอลลีวู้ดหัวร้อน ว่าทำไมออสการ์ถึงกล้าเมินฝีมือของ เกอร์วิก ได้ลงคอ นอกจากนี้ในปี 2019 ยังมีหนังพลังหญิงกำกับโดยผู้หญิงอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจและได้รับคำชื่นชมมหาศาล แต่ปิ๋วไม่ได้เข้าชิงอะไรเลย อาทิ The Farewell ของ ลูลู่ หวัง, Hustlers ของ ลอรีน สกาฟาน่า และ Portrait of a Lady on Fire ของผู้กำกับ ซีลีน เซียมม่า เป็นต้น จนหลายคนรุมถล่มกรรมการออสการ์ว่าเหยียดเพศ กลายเป็นดราม่าที่ลุกลามและไม่มีทางดับลงง่ายๆ 

จริงๆ แล้ว ออสการ์มักโดนครหาเสมอว่าชอบมองข้ามผู้กำกับหญิงและชื่นชมแต่ผู้กำกับชาย อาจเรียกได้ว่าเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่มมอบรางวัลตุ๊กตาทองในปี 1929 โดยในปัจจุบันมีผู้กำกับหญิงเพียง 5 คนเท่านั้นที่ได้เข้าชิงรางวัลสาขานี้ และมีผู้ได้รางวัลเพียงคนเดียวคือ แคทเธอรีน บิกเกโลว์ จาก The Hurt Locker ในปี 2009 เธอเอาชนะ เจมส์ คาเมรอน จาก Avatar หนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ขายเทคนิคพิเศษล้ำยุคไปได้ (ซึ่ง คาเมรอน เคยเป็นอดีตสามีของ บิกเกโลว์ เสียด้วย) 

แต่ท่ามกลางเสียงประท้วงของผู้หญิงทั่วฮอลลีวู้ด ก็มีเสียงโต้แย้งเช่นกันว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไร้สาระสิ้นดี กรรมการไม่ได้เหยียดเพศแต่อย่างใด หนึ่งในนั้นคือ สตีเฟ่น คิง นักเขียนนิยายสยองขวัญที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี โดยเขาเป็นผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนรางวัลออสการ์ถึง 3 สาขานั่นคือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม เขาทวิตข้อความประกาศว่าในการตัดสินรางวัล ตัวเขาไม่สนใจเรื่องของความหลากหลายทางเพศ เพราะสิ่งที่เขาสนใจคือคุณภาพในเนื้องาน ถ้าหนังเรื่องนั้นทำออกมาดี คนทำจะเป็นเพศไหนก็ช่าง แต่คนก็พร้อมจะโหวตให้แน่นอน

การฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวครั้งนี้จึงทำให้ คิง โดนรุมสกรัมบนโลกออนไลน์อย่างสาหัสจากบรรดานักทำหนังหญิง ทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง รวมถึงจากคนจากนอกวงการด้วย ถ้าถามว่า คิง พูดผิดอะไรถึงต้องโดนต่อว่าต่อขานหนักขนาดนี้ จริงๆ แล้วคงต้องบอกว่าไม่ผิดเพราะการประกวดหนังย่อมต้องหาว่าหนังเรื่องไหนมีคุณภาพดีสุด เรื่องนั้นจึงจะได้รางวัลไปครอง บนเวทีออสการ์ก็เช่นกัน หนังที่ควรเข้าชิงรางวัล ผู้ที่ได้เข้าชิงแต่ละสาขา ล้วนต้องได้ชื่อว่ามีดีมีคุณภาพ และหากผลิตผลงานแย่ๆ ออกมา ย่อมไม่มีโอกาสหลุดมาถึงจุดนี้ได้ แต่ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาออสการ์มีความซับซ้อนกว่านั้น เพราะจะบอกว่าตัดสินกันเฉพาะคุณภาพอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ เนื่องจากมีหนังหลายเรื่องที่ได้เข้าชิงและได้รางวัลโดยอาจไม่ใช่หนังที่คนจำนวนมากมองว่า “คุณภาพถึงพร้อม” ที่สุดในปีนั้น หลายเรื่องมีปัจจัยทางการเมืองนอกเวที/หลังเวทีเข้ามาเกี่ยวข้อง และจะพบเห็นได้บ่อยว่าจำนวนหนังดีที่ตกสำรวจมีมากกว่าหนังที่ได้รับการยกย่องด้วยซ้ำ 

Little Women

BTS: Director/Writer Greta Gerwig and DP Yorick LeSaux on the set of Columbia Pictures’ LITTLE WOMEN.”

นอกจากนั้นหากบอกว่าตัดสินกันที่คุณภาพ คำถามคือคุณภาพที่ว่าเป็นไปตามมาตรวัดของใคร? ใครมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายว่า หนังเรื่องนี้มีคุณภาพ หนังเรื่องนี้ด้อยคุณภาพ? ซึ่งแน่นอนว่าในกรณีของออสการ์ ผู้ที่มีอำนาจก็คือบรรดาผู้คร่ำหวอดในวงการจำนวนหลายพันคน แต่หากเจาะลึกลงไปจริงๆ จะพบว่าสมาชิกส่วนใหญ่ที่มีสิทธิ์ออกเสียงโหวตนั้นมักจะเป็นกลุ่มของผู้ชายผิวขาวและมีอายุ มีพฤติกรรมเหยียดเพศเหยียดผิว แถมยังมีทัศนคติที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ถ้าถามว่าเป็นคนแบบไหนก็คนแบบ ฮาวี่ย์ ไวน์สตีน อดีตผู้บริหารสตูดิโอใหญ่ที่โดนมรสุม #MeToo จนทำเอาหมดสภาพนั่นเอง หลายปีที่ผ่านมา เขามีอิทธิพลสามารถต่องรอง ผลักดันให้หนังของเขาชนะรางวัลออสการ์สาขาใหญ่ๆ ซึ่งบางทีก็มีข้อกังขาว่า หนังของเขาดีที่สุดจริงหรือไม่ ดังเช่นที่ในปี 1998 ที่ Shakespere In Love เอาชนะ Saving Private Ryan ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแบบค้านสายตาคนจำนวนมาก

คำว่าคุณภาพยากจะวัดเป็นรูปธรรมได้ ในหลักสูตรการสอนวิชาภาพยนตร์ ถึงจะพูดถึงหลักเกณฑ์ว่าการเข้าข่ายความเป็นหนังดีประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่สามารถวัดได้ด้วยตัวเลขแบบเป๊ะๆ และถึงหลายปีที่ผ่านมาจะมีความพยายามตีค่าหนังเป็นตัวเลข เช่น เว็บไซต์มะเขือเน่า Rotten Tomatoes ประเมินบทวิจารณ์ของนักวิจารณ์จำนวนมากออกมาเป็นคะแนนว่าอยู่ในโซนใดระหว่างมะเขือเน่า (หนังห่วย) และมะเขือสด (หนังดี) แต่ต่อให้ตีค่าออกมาแล้วพบว่ามีหนัง 2 เรื่องได้เปอร์เซ็นเท่ากัน ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนั้นมีคุณภาพเท่ากันจริงๆ และนั่นทำให้บ่อยครั้งคนทำหนังหญิงจำนวนมากรีดเค้นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวจนหมด สร้างหนังที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมเพียงใด แต่น่าเศร้าตรงที่หนังดีให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันได้รับการจดจำ จนบางทีพวกเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำดีขนาดนี้แล้วยังโดนมองข้าม พวกเธอต้องทำอีกมากแค่ไหนจึงจะได้รับการยกย่อง

Little Women

หันกลับมาดูที่ Little Women ศูนย์กลางของประเด็นร้อนในปีนี้ การที่ สตีเฟ่น คิง บอกว่าตัดสินกันที่คุณภาพจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมกลุ่มผู้หญิงถึงไม่พอใจ เพราะจะบอกว่า Little Women ย่ำแย่ ด้อยค่ากว่าหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่องอื่นๆ ก็คงไม่ใช่ และหากถามว่าเกรต้า เกอร์วิก มีคุณสมบัติควรค่าแก่การเข้าชิงและได้รางวัลหรือไม่ หลายคนที่ผ่านตาหนังเรื่องนี้ย่อมบอกว่ามีแน่นอน แต่ความซับซ้อนว่าทำไม เกรต้า เกอร์วิก ถึงไม่ได้เข้าชิงออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมยังไม่จบเพียงเท่านี้ ซาช่า สโตน คอลัมน์นิสต์หญิงจาก Awards Daily ซึ่งติดตามแวดวงรางวัลออสการ์มานานถึง 20 ปีชี้ว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้ เกอร์วิก ไม่ติด 1 ใน 5 ที่นั่งผู้เข้าชิงเพราะหนังไม่ได้มีกระแสเชียร์อันยาวนานเป็นตัวส่งเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ ที่ได้เข้าชิง ซึ่งหลายเรื่องได้กลายเป็นตัวเต็งมาตั้งแต่ยังไม่ถึงฤดูล่าออสการ์ด้วยซ้ำ และหากย้อนดูเส้นทางการคาดคะเนของนักวิจารณ์และกูรูออสการ์จะพบว่า Little Women แทบไม่มีกระแสว่าลุ้นบนเวทีออสการ์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้หนังเสียเปรียบเรื่องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยจากการคาดการณ์ของ 3 เว็บไซต์ดังอย่าง Indiewire, Collider และ Awards Daily ในช่วงกลางปี 2019 จนถึงช่วงเดือนธันวาคมพบว่า ทั้ง 3 สำนักนี้ไม่ได้จัดให้ Little Women และตัวของ เกอร์วิก อยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ที่มีโอกาสเข้าชิงรางวัลเลย เธอถือเป็นม้านอกสายตาเสียด้วยซ้ำเมื่อเปรียบเทียบกับ บงจุนโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้จาก Parasite ที่ได้กระแสมาตั้งแต่ก่อนจะคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เสียอีก รวมถึง มาร์ติน สกอร์เซซี่ย์ จาก The Irishman ที่ Netflix ช่วยโหมกระพือความมหากาพย์ล่วงหน้าก่อนออกอากาศทาง Netflix หลายเดือน

ส่วน ท็อดด์ ฟิลิปส์ จาก Joker เองก็มีกระแสมาตั้งแต่เริ่มสร้างเสียด้วยซ้ำ และตอกย้ำด้วยการได้รางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเวนิซ ซึ่งปกติมักปลาบปลื้มในหนังอิสระหรือหนังเล็กๆ เสียมากกว่า แถมประธานกรรมการที่มอบรางวัลให้ Joker ยังเป็นผู้กำกับหญิงมือรางวัลอย่าง ลูเครเซีย มาร์เทล จาก The Holy Girl (2004) และ The Headless Woman (2008) เสียด้วย 

สโตน ยังยกเหตุผลที่น่าสนใจอีกประเด็นว่า หากเปรียบเทียบ Little Women กับ Lady Bird (2017) ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ เกอร์วิก จะเห็นความแตกต่างของกระแสอย่างชัดเจน Lady Bird ส่งให้เธอได้เข้าชิงออสการ์หลายรางวัล รวมทั้งหนังยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม โดยหนังมีเสียงชื่นชมช่วยประคองมาอย่างดี ไม่มีแผ่ว และก่อนจะเข้าชิงออสการ์ หนังมีชื่อติดรางวัลใหญ่ๆ หลายสาขาไม่ว่าจะเป็นลูกโลกทองคำ (Golden Globes Awards) รางวัลจากสมาคมนักแสดง (SAG Awards) สมาคมผู้กำกับ (DGA Awards) และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่ง Little Women แทบไม่ได้เข้าชิงรางวัลใดๆ ในสมาคมเหล่านี้เลย และกว่าจะเกิดกระแสเชียร์จริงๆ ต้องรอจนกระทั่งมีดราม่าหลุดโผออสการ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

Little Women

BTS: Director/Writer Greta Gerwig and DP Yorick LeSaux on the set of Columbia Pictures’ LITTLE WOMEN.”

เพราะฉะนั้นการตั้งแง่ว่ากรรมการออสการ์เหยียดเพศเพียงเพราะหนังกำกับโดยผู้หญิงจึง “อาจ” ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะถ้ากรรมการเหยียดจริงๆ เธอคงไม่ได้เข้าชิงรางวัลจาก Lady Bird มาตั้งแต่แรกแล้ว แถมตอนนั้นกระแส #MeToo ก็จุดติดขึ้นมาเรียบร้อยในฮอลลีวู้ด ซึ่งหนึ่งในความเป็นไปได้ก็คือ กรรมการออสการ์ชอบ Little Women ชอบฝีมือของ เกอร์วิก ไม่น้อย เพียงแต่พวกเขาชอบหนังเรื่องอื่นมากกว่าเท่านั้น

ดังนั้นถึงแม้ว่า Little Women จะชวดรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่การพาตัวเองมาอยู่ในจุดที่ได้เข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัลรวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก็ต้องถือว่ามาไกลกว่าที่หลายคนคาดคิดแล้ว อย่างไรก็ตาม การไม่มีกระแสช่วยส่งเสริมก็อาจถูกตั้งคำถามกลับและถกเถียงได้เช่นกันว่า กระแสที่เกิดขึ้นเกิดมาจากอำนาจของใคร และหากเป็นแบบนี้ มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าออสการ์ไม่ได้ประเมินคุณภาพหนังจากคุณภาพอย่างเดียวดังที่หลายคนพูดออกมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าความหลากหลาย (Diversity) เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากๆ ในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ในสังคมแวดวงคนทำหนัง แต่ยังรวมถึงหลากหลายสถาบันทั่วโลก ออสการ์เองก็รู้ว่าตนเองมีปัญหาเรื่องนี้ถึงพยายามเกณฑ์สมาชิกใหม่เข้าสถาบันมากขึ้น ให้เกิดผู้มีสิทธิ์โหวตรางวัลเพิ่มขึ้น เพื่อลดปัญหาการผูกขาดพื้นที่ของผู้ชาย โดยนับตั้งแต่ปี 2017 ผู้มีสิทธิ์โหวตรางวัลออสการ์เพิ่มจำนวนมากกว่า 2,000 คน และเมื่อปีที่แล้วมีจำนวนของผู้หญิงที่มีสิทธิ์ในการโหวตถึง 32% เพิ่มขึ้นจากในปี 20115 ที่มีอยู่เพียง 8% เท่านั้น

แม้ในปัจจุบัน ผลของการพยายามเพิ่มความหลากหลายอาจยังไม่ได้ผลิดอกออกผลอย่างเต็มตัว แต่เชื่อว่าความตื่นตัวของผู้คนในสังคมจะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดยิ่งขึ้นในภายภาคหน้า และ Little Women จะเป็นกรณีศึกษาสำคัญ ที่จะได้รับการพูดถึงไปอีกยาวนาน แต่ก็อย่าลืมว่าท้ายที่สุดแล้วนี่คือวงการที่ตัดสินกันด้วยคุณภาพอยู่ดี ดังเช่นที่ผ่านมาเวลามีผลงานเรื่องใดคุณภาพไม่ได้สูงจริงเกิดได้รางวัลไปครอง ผู้คนก็จะตราหน้าาหนังเรื่องนั้นไปอีกนานแสนนาน และหากกรรมการเกิดโหวตให้หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเพราะเพศของคนทำเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงในคุณภาพ คำครหาก็จะแว้งกัดหนังเรื่องนั้นเข้าจนได้ ซึ่งก็หวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นในอนาคต

Little Women

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย,

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า