บิ๊กตู่ พอใจอภิปรายงบ’63-ยันไม่สนิทนายทุน-ชี้จำเป็นซื้ออาวุธใหม่เพิ่มศักยภาพ

นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมสภา อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2563 วันสุดท้าย เผยพอใจภาพรวม ยืนยันไม่เอื้อประโยชน์นายทุน แต่จำเป็นต้องสนับสนุนเพื่อให้เกิดความร่วมมือจากภาคเอก ขณะที่เรื่องบประมาณกระทรวงกลาโหม ใช้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ 7-8 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เพื่อเสริมศักยภาพความมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

วันที่ 19 ต.ค. วันสุดท้ายในการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 เวลา 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางถึงรัฐสภา โดยให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าห้องประชุมสภาฯ ว่า พอใจกับการอภิปรายที่ผ่านมา พูดจากันเป็นประโยชน์ โดยตนก็รับฟังทั้งหมด อันไหนที่ดีๆ ก็จดหัวข้อไปแล้วจะนำไปบูรณาการ งบประมาณแต่ละกระทรวงก็ได้มากน้อยตามที่เสนอในร่าง แต่ไม่ใช่ว่างบนี้ทำคนเดียว อยู่ที่การบริหารว่าจะให้หน่วยงานอื่น สนับสนุนนโยบายในด้านนี้เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เพราะเป็นการบูรณาการ เช่น เรื่องแก้ปัญหาฝุ่นละออง ไม่ใช่อยู่ที่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็เกี่ยวข้อง และถ้ามีปัญหาเร่งด่วนก็จะพิจารณาให้งบกลางได้ตามสมควร ซึ่งมองดูเหมือนงบกลางมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้ประจำ เหลือแสนกว่าล้าน และต้องเก็บไว้ ไม่ใช่ใช้จ่ายเรื่อยเปื่อย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงงบของกระทรวงกลาโหมว่า งบกระทรวงกลาโหมก็เหมือนกันอยากให้มอง เขาอาจจะไม่ทราบว่าทหารทำอะไร อย่างน้อยกองทัพบกมี 7 กองกำลังอยู่แนวชายแดน หลายหมื่นคนทำงานทุกวันทำหน้าที่แทนทุกกระทรวง อาทิ การสกัดกั้นสินค้าผิดกฎหมาย ย้ำให้ความสำคัญปัญหาชายแดนภาคใต้ โดยแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมา โดยนายกฯ จะสั่งการให้มีโครงการลงไปโดยตรงไม่ใช่งบภาคใต้อย่างเดียว การทำแผนงบประมาณครั้งนี้คือจะทำอย่างไรให้เกิดความทั่วถึง ทุกจังหวัด ทุกตำบล ทุกอำเภอ ตรงไหนเร่งด่วนก่อนทำก่อน เช่น การแก้ปัญหาน้ำท่วม 4 จังหวัดภาคอีสาน โดยปัญหาจัดการน้ำได้เตรียมโครงการไว้แล้วกว่า 2,000 โครงการ แต่จะทำได้มากน้อยเพียงใดอยู่ที่ งบประมาณ และที่ดินของประชาชน อาจจะมองตัวเลขงบประมาณ 2563 มาก แต่อย่าลืมว่าภารกิจในวันนี้มีมากขึ้น ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า อย่างการลงทุนที่บอกว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ คือส่วนหนึ่งเพราะภาษีเราก็ได้มาจากเขา เราก็ต้องสนับสนุนให้มีการลงทุนของพวกเรากันเองโดยกฎหมายทุกตัว โดยไม่มีสนิทสนมกับใคร นายกฯไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นหรอก จะให้ใครพิเศษไม่ได้ ต้องประมูล งบประมาณตรงนี้เรามีอยู่ 3 แสนกว่าล้าน การลงทุนต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ กฎหมายเขียนว่า ไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เราจัดสรรให้ได้มากที่สุดเท่านี้ การลงทุนตรงนี้พร้อมจะไปลงทุนหรือไม่ รถไฟฟ้า 7-10 สาย ขนส่งมวลชน รถไฟร่างเดี่ยว ต้องทำให้ทั่วถึง เงินมากจากไหน มาจากภาคเอกชน เดิมมาจากภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว ก็ต้องกู้เงินหนี้สาธารณะมันก็สูงขึ้น

หนี้สาธารณะ 41 เปอร์เซ็นต์ยังไม่น่ากังวลตอนนี้ ถ้ามองตัวเลขดูสูงตามค่าของเงินทุกปี ตามจีดีพี เรามีขีดความสามารถใช้หนี้ หนี้ระยะสั้นเกณฑ์ปลอด หนี้ระยะยาวก็ผ่อนชำระไป ตัวเลขดูหน้ากลัว แต่ผมว่าขีดความสามารถของเรา เมื่อเราหาเงินได้มากขึ้น เราก็ผ่อนเงินต้น ดอกเบี้ยได้มากขึ้น ก็สามารถจะกู้ใหม่ได้ บางประเทศรวยๆ เป็นหนี้สาธารณะ 200 เปอร์เซ็นต์เพราะขีดความสามารถในการหาเงิน เรากำลังเดินหน้าตรงนี้ ต้องใช้เวลา

“ผมไม่ได้ไปขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม รุ่นใหม่ รุ่นเก่า แต่ผมอยากจะบอกว่า ถ้าบอกว่ารัฐบาลไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันไม่น่าจะได้ ผมเกรงว่าประชาชนจะไม่เข้าใจ สิ่งสำคัญเราต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น สร้างให้เกิดความร่วมมือ ถ้าให้ทุกคนเรียกร้องพร้อมกันได้หมด แก้ปัญหาไม่ได้เลย การนำหลักการต่างประเทศมา ผมก็นำมาใช้ ทำไมผมจะไม่รู้ ไม่ศึกษา และผมก็เดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง หาเอกสาร เวลาเขามีโครงการอะไรผมก็เอามาดู ว่าเราทำได้บ้างไหม หลายอย่างเกิดขึ้นแล้ว ผมก็เอาแนวทางเขามาทำ แต่ปัญหาของเราติดงบประมาณ และความเข้าใจของประชาชน”

“ทั้งหมดต้องประชาชนทั้งนั้น ถึงจะยินยอมให้เราทำ ทั้งขุดบ่อ แก้มลิง มันที่ใครล่ะจ๊ะ ที่รัฐบาลเหรอ มันที่ประชาชน ทำได้อย่างเดียวคือการเวนคืน เมื่อเวนคืนแล้วเขายอมออกไหม ไม่ออก เขาให้เยียวยาตามกฎหมายที่ควรจะเป็น ราคาเขาก็ไปเปรียบเทียบกับราคาค้าขายจริงๆ ค่าเวรคืนมากกว่าค่าก่อสร้างอีก แล้วจะทำอย่างไร ปัญหามันเยอะมากกว่าหลักการที่เราคิดว่ามันควรทำโน่นทำนี่ แต่มันติดอย่างนี้โทษใครไม่ได้ ผมถึงต้องพูดเยอะหน่อย ให้ประชาชนได้เข้าใจว่าผมไม่ได้ทิ้งเขาเลย ทั้งหมดเราทิ้งกันไม่ได้หรอก ถ้าเราแยกแยะนี่รวย นี่จน ผมถามว่า คนรวยเขาก็ต้องเสี่ยงนะ เช่น การลงทุน PPP เขาร่วมกับเรา แล้วขาดทุน ลงทุนรถไฟขาดทุนไหมล่ะ ขาดทุน เพราะอะไร แรกๆ ขาดทุนทุกอัน แต่ต้องไปสร้างอะไรที่มันเกิดขึ้นเป็นมูลค่า ขนส่งคนให้เร็วที่สุด จะได้มีคนจากกรุงเทพฯ ไปทำงาน EEC ก็ได้ และช่วยการบริการ 3 สนามบินให้เร็วขึ้น เราใช้ท่าอากาศยานที่ระยอง เพื่อไม่แออัดที่ดอนเมือง สุวรรณภูมิ ขึ้นรถไฟความเร็วสูงเข้ามากรุงเทพฯ แต่ต้องลงทุนสูง เป็นการแข่งขันภาคเอกชน เราดูกฎหมายแล้วกัน ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้ใคร”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า บางทีการพูดจาในสภา ผมเตือน เพราะมีการถ่ายทอดประชาชนโดยตรง เขาไม่ได้ฟังรัฐบาลชี้แจง แต่ฟังส่วนนี้ที่พูดลงไป ฟังดูดีหมด ผมก็ว่าดูดีหลายเรื่อง แต่ต้องมาดู HOW TO DO ปัญหาอยู่ตรงไหน ใครเกี่ยวข้องบ้าง นี่คือสิ่งที่นายกฯ ทำมาตลอด 5 ปี

ผู้สื่อข่าวถึงแผนผังที่อยู่ในมือเมื่อวาน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นรายงานการจับยาเสพติด สังเกตใหม่เยอะขึ้นแต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย เมื่อไหร่ทหารมาก็หลบไป แล้วถ้าเราไม่มีเรือทันสมัยจะได้หรือไม่ เรืออายุ 50-60 ปีก็ผุพังบ้าง อย่าคิดว่ามีเยอะแล้ว ต้องดูว่าทันสมัยหรือไม่ งบประมาณของกระทรวงกลาโหม ซื้ออาวุธ 7-8 หมื่นล้าน เท่านั้นเอง เป็นงบของเขา ไม่ใช่เอางบกลางไปซื้อยกเว้นจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ จำนวนน้อยมาก เป็นเรื่องศักยภาพว่าทันสมัยเท่าไหร่ โลกมันเปลี่ยนแปลง รอบบ้านเราเขาก็มี จะบอกว่าเขาไม่เดือดร้อนเกษตรกรหรือถึงซื้อ เขาก็เดือดร้อนเหมือนเรา แต่ทำไมเขาทำ เมื่อเขามีแล้วเราไม่มี ศักยภาพเราหายไปไหม ความเกรงอกเกรงใจ การเจรจาการพูดคุย การรักษาความมั่นคงทางทะเลสำคัญที่สุด ของพวกนี้มันแพง เราก็พยายามต่อเองในประเทศแล้ว อาจเกิดกระทบกระทั่งในทะเล ต้องมีกำลังลงไป ให้เห็นว่าเราคุ้มครอง