Oxfam ชี้หลายบ.เริ่มผนวกความเป็นธรรมเข้าธุรกิจแล้วแต่ยังดันได้อีก ในการประชุม Asia-IRB

ผู้บริหารธุรกิจภาคเอกชนและภาคประชาสังคมร่วมหารือรูปแบบธุรกิจที่มีความยั่งยืนในการประชุม Asia Inclusive & Responsible Business Forum (Asia-IRB) โดยเน้นย้ำการทำงานกับทุกภาคส่วนในการสร้างความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับคนและโลก 

อ็อกแฟม อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรด้านการพัฒนาระดับสากล จัดประชุม Asia-IRB Forum เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 โดยมีผู้นำจากภาคธุรกิจ ประชาสังคมในเอเชีย และหน่วยงานระหว่างประเทศเข้าร่วมประชุมกว่า 80 ราย อาทิ AMRU Rice Cambodia, JAEBEE Furniture, ไทยยูเนี่ยน ฯลฯ ภายในที่ประชุมได้พูดถึงผลลัพธ์ของภาคธุรกิจจากการจ่ายค่าแรงที่เหมาะสมกับแรงงาน การส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิง การมีส่วนร่วม และการปรับตัวเพื่อสร้างการผลิตที่ยั่งยืนโดยกระทบต่อสภาพภูมิอากาศน้อยที่สุด นอกจากนี้ในที่ประชุมยังพิจารณาถึงวิธีสร้างความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วนต่าง ๆ  

กุนธี กัน ตัวแทนบริษัท AMRU Rice Cambodia บริษัทผู้ผลิตและส่งออกข้าวอินทรีย์รายใหญ่ของกัมพูชา ได้ร่วมแบ่งปันตัวอย่างแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมว่า “เรากำลังพยายามสร้างระบบนิเวศที่ทุกคนในห่วงโซ่อุปทานได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย รูปแบบของเราส่งเสริมผลประโยชน์ทางการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้นสำหรับเกษตรกรผ่านการเป็นเจ้าของหุ้นโดยตรง โดยให้ราคาที่เป็นธรรม และค่าพรีเมี่ยมสำหรับพืชผลผ่านข้อตกลงการจัดหา เรากำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคประชาสังคมเพื่อสนับสนุนความหลากหลายในการเพาะปลูกซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ เรายังส่งเสริมเทคนิครับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศให้กับเกษตรกรด้วย ซึ่งรวมถึงการใช้โรงเรือนและการปลูกพืชแซม เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” 

จักรชัย โฉมทองดี ตัวแทนจาก อ็อกแฟม อินเตอร์เนชั่นแนลประจำภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า บริษัทในภูมิภาคเอเชียเริ่มตระหนักแรงผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมทางสังคมในระดับโลก แต่ยังตระหนักไม่มากพอ พร้อมทั้งเสนอว่าบริษัทต่าง ๆ ควรก้าวข้ามวิธีรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรแบบเดิม ๆ ที่เป็นโครงการระบะสั้น ๆ แล้วจบไป โดยบริษัทควรมีมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนประกอบสำคัญการทำธุรกิจ

อ็อกแฟม อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุในรายงานการประชุมว่า องค์กรตระหนักถึงความยากจนที่ลดลงซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ  แต่ในขณะเดียวกันบริษัทจำนวนมากกลับมีส่วนสร้างความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น เช่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ในช่วงที่เกิดโรคระบาด เป็นต้น งานวิจัยของ อ็อกแฟม อินเตอร์เนชั่นแนล เรื่อง ‘Not in This Together’ ได้ชี้ให้เห็นว่า ผลกำไรของบริษัทเอกชนหลายแห่งมาจากการบริหารธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรมกับแรงงานที่ต้องดิ้นรนทำกำไรให้บริษัท

ปราชญ์ เกิดไพโรจน์ ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคด้านความยั่งยืนบริษัทแปรรูปและส่งออกอาหารทะเลระดับโลก ไทยยูเนี่ยน ระบุถึงความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชนกับภาคประชาสังคมในระดับโลกและระดับท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาว่า “เราได้รับประโยชน์จากความรู้ของภาคประชาสังคมในการสนับสนุนการตรวจสอบและการสร้างขีดความสามารถที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานของเรา และเรายังได้ทำสัญญากับเรือประมงเพื่อส่งเสริมการใช้แรงงานที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย การทำงานร่วมกันเป็นพื้นฐานในการสร้างโมเดลธุรกิจที่มีส่วนร่วมและยั่งยืน เราจำเป็นต้องร่วมมือกับทุกคน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และลูกค้า”

รายงานการประชุม ระบุว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หลายแห่งก็เป็นแหล่งอาชีพของประชากรในภูมิภาคเอเชียเช่นเดียวกัน โดย SME แต่ละรายมีศักยภาพในการดำเนินการส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น 

ภิรมย์ ดีพรรณ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทสตาร์ทอัพด้านสุขภาพในกัมพูชา MUCH Mobile Healthcare ที่ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงการดูแลผู้สูงอายุและมอบการดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงผ่านคลินิกเคลื่อนที่ และให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานหญิง ระบุว่า การลงทุนในสตาร์ทอัพด้านการดูแลสุขภาพมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก โดยความสำเร็จของธุรกิจนี้ นำไปสู่ผลลัพธ์ด้านสุขภาพและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชุมชนที่ด้อยโอกาส เป็นการกระจายทรัพยากรด้านการดูแลสุขภาพที่เท่าเทียมกัน และยังลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพมากขึ้น

นอกจากภาคธุรกิจในเอเชียแล้ว ยังมีผู้เข้าร่วมจากภูมิภาคอื่นเข้าร่วมแชร์ประสบการณ์ เช่น

จอย บามิเดล ผู้บริหารระดับสูงของ JAEBEE Furniture กิจการเพื่อสังคมในไนจีเรียที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมในไนจีเรีย และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและความเท่าเทียม ก็ได้ระบุว่า “เราทราบดีว่าการลงทุนด้านการศึกษาและการจ้างงานผู้หญิงมีความสำคัญมากในการสร้างผลกระทบทางสังคม เรามุ่งมั่นที่จะเป็นเวทีสำหรับผู้หญิงที่ด้อยโอกาสในชุมชนของเรา และนำหญิงสาวที่ออกจากโรงเรียนมาเข้าสู่ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของเรา การดูแลผู้คนในชุมชนทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและเพิ่มผลกำไรได้ แนวทางของเราคือการช่วยเหลือผู้คน เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น เราทุกคนจะได้รับประโยชน์” 

การประชุม Asia-IRB ระหว่างบริษัทเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานระหว่างประเทศในครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะมุ่งมั่นทำงานต่อไปเพื่อสร้างรูปแบบธุรกิจที่มีความเท่าเทียมทางโอกาส และช่วยเหลือธุรกิจอื่นๆ ในการให้ความสำคัญกับจุดมุ่งหมายด้านความเป็นธรรมที่ยั่งยืนพร้อมกับการทำผลกำไร เพื่อสร้าง ‘เศรษฐกิจฐานมนุษย์’ ที่เป็นระบบเศรษฐกิจที่หนุนเกื้อต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

อ็อกแฟม อินเตอร์เนชั่นแนล คือองค์กรด้านการพัฒนาระดับสากลเพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมของคนรากหญ้า โดยร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการสร้างการบริโภคและการดำเนินธุรกิจที่ให้ความเป็นธรรมกับแรงงาน และสิ่งแวดล้อม โดยก่อนหน้านี้ อ็อกแฟม ได้จัดเสวนา ‘Battling inequality in food supply chains: a post-pandemic talk on living wage’ กับบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ Unilever เพื่อติดตามว่าบริษัทระดับโลกกำลังเดินหน้าไปสู่การรับประกัน ‘ค่าแรงเพื่อชีวิต’ หรือ ‘living wage’ อย่างไรบ้างเพื่อให้ค่าแรงเพื่อชีวิตเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต