Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

หลังจากชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการสำนักงานงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ถูกคำสั่งลงนามโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.โดยขาดจากการปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมและต่อมาที่ประชุม ครม.มีมติโอนให้พ้นจากตำรวจไปเป็นข้าราชการพลเรือนในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เงียบหายจากหน้าสื่อไปนานเพราะเจ้าตัวหลีกเลี่ยงการเป็นข่าว

6 ม.ค. 2563

จู่ๆ ชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็กลับมาเป็นที่สนใจ หลังเกิดกรณีคนร้ายยิงรถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่หน้าร้านนวดแผนไทย ซอยสาริกา ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก โดยกระสุน 8 นัด เข้าบริเวณประตูด้านซ้ายของตัวรถ ซึ่งตอนที่เกิดเหตุเจ้าตัวอยู่ในร้านนวด
.
หลังเกิดเหตุ 23.30 น.พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง.ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ที่เดินทางไปต่างประเทศ ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ระบุเหตุเกิดช่วงประมาณ 20.00 น. ยังสรุปสาเหตุไม่ได้
.
7 ม.ค. 2563

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เริ่มให้สัมภาษณ์หลายสื่อ สรุปใจความสำคัญได้ว่า
.
– เคยมีผู้ใหญ่เตือนมาแล้ว คนยิงรับคำสั่งมาให้ยิงขู่ ซึ่งตนรู้ว่าคู่กรณีคือใคร และที่ถูกยิงขู่มาจากกรณีเดียวคือ ผู้สูญเสียในโครงการจัดซื้อระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลหรือ ไบโอเมทริกซ์ ซึ่งตนสั่งให้ยกเลิกเพราะไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการจัดซื้อจัดจ้าง
.
– ส่วนกรณีที่มีคนระบุว่าจัดฉากยิงเพื่อพาดพิง พล.ต.อ.จักรทิพย์ นั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เวลาผ่านมาเป็นปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดฉากอะไรในเวลานี้ และตนไม่มีอะไรคาใจกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ หากจับคนก่อเหตุได้จะรู้ว่ายิงทำไม ใครเป็นผู้บงการ

8 ม.ค. 2563

-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เข้าพบ พล.ต.อ.วิระชัย เพื่อให้ข้อมูลกรณีที่ถูกยิงรถ โดยกล่าวว่า เชื่อว่ามาจากการที่เตรียมเข้าเป็นพยาน กรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างไบโอเมทริกซ์มูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งการที่ตนยกเลิกเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
.
– ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า อยากกลับมาเป็นตำรวจแต่ไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ให้ตนเองเด่นดัง
.
– พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ ว่า คู่กรณีมีเพียงแค่คนๆ เดียว ที่พยายามจะให้ไปเคลียร์ไปคุยด้วย ตนเอ่ยชื่อไม่ได้เพราะไม่อยากไปพาดพิง คนสั่งเป็นผู้ใหญ่ ตนเป็นตำรวจเก่าไม่มีใครกล้าทำกับตนแบบนี้หรอกถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจจริงๆ ส่วนเรื่องคดีที่ไม่คืบหน้า  ผบ.ตร.เคยบอกว่าการโยกย้ายครั้งที่ผ่านมา ได้เอามือดีมาอยู่ในนครบาล ดังนั้นต้องจับคนร้ายให้ได้ ถ้าตนเป็น ผบ.ตร. แล้วจับคนร้ายไม่ได้ ตนต้องรับผิดชอบ

 

9 ม.ค. 2563

– ปรากฏคลิปเสียง เนื้อหาเป็นการตำหนิในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี โดยผู้ถูกตำหนิถามว่า “หมายความว่า ผมไม่ต้องลงไปยุ่งเรื่องนี้ใช่ไหมครับ พี่ครับ” ผู้ตำหนิ ตอบกลับว่า “ก็ไม่ต้องลงไป ก็จบแล้วไง สั่งการไปแล้วก็พอแล้ว ดูเขารายงานกลับขึ้นมาแค่นั้นเอง น่ะ ไม่ต้องออกไปแถลงข่าวนู่น แถลงข่าวนี่ ไปโอ้โห..ก็เหมือนกับเตี๊ยมกันมานั่นแหละน่ะ มันไม่มีอะไรเลยสถานการณ์นี้”
.
และกล่าวต่อด้วยว่า “คิดว่าจะมีวุฒิภาวะพอ ที่จะนู่น นี่ นั่น ไม่ไปเอาเรื่องส่วนตัวของสองคน เข้ามาร่วมด้วย” “นี่รู้ น่ะ ทำอะไรกันอยู่ พี่โตมาป่านนี้แล้ว อยู่มาขนาดนี้แล้ว ให้พลโท มาสั่ง พลเอก ทำโน่นทำนี่ มันไม่ใช่ อะนะ อยู่คนละที่ อยู่นู่น แล้วงานสำนักนายกฯ นู่น พี่ไม่เคยพูดถึงขนาดนี้หรอก แต่บางทีเขารายงานมา มันมีข้อมูล มันน่าเชื่อถือ ”

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ

ต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. รับว่าเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.อ.วิระชัย รอง ผบ.ตร.จริง เป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาตามปกติ ส่วนเรื่องการอัดและปล่อยคลิปเสียงไม่ทราบว่าใคร แต่โดยมารยาทแล้วการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างบุคคลนั้นไม่ควรอัดบทสนทนาเอาไว้ ยกเว้นคู่สนทนาจะมีเจตนารมณ์แอบแฝงในทางที่ไม่ดีกับอีกฝ่ายหนึ่ง

พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.

ขณะที่ พล.ต.อ.วิระชัย รับว่าคุยโทรศัพท์กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพื่อรายงานความคืบหน้าของคดี แต่ไม่ขอตอบเรื่องถูกเบรกสั่งทำคดี ส่วนคลิปเสียงที่หลุดอาจจะเป็นการดักฟัง

ด้าน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแส ถึงเรื่องคลิปเสียงว่า ฟังแล้วหดหู่ใจ ถ้าเป็นผู้นำองค์กรแล้วสั่งแบบนี้ คนรักษาการ ผบ.ตร.เขาทำตามหน้าที่ ตนมองว่าการจับคนร้ายคงต้องทำใจแล้ว
.
การสั่งการในคลิปเป็นการสั่งเพื่อองค์กร เพื่อตนเอง หรือเพื่ออะไร ถ้าเป็นตนจะสั่งว่าควรจะจับให้ได้ภายใน 2-3 วัน ไล่กล้องติดตามเอาตัวมาลงโทษให้ได้ เอาหน่วยงานไปแถลงข่าวร่วมกันให้เห็นว่าทำอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนจะจับได้หรือไม่ได้ก็ว่ากัน
.
การที่ในคลิปบอกว่ารู้กัน เอื้อกัน พูดแบบนี้ได้อย่างไร ที่ตนต้องออกมาพูดแบบนี้เพราะโดนรังแกมาเยอะแล้ว ใครไม่เป็นตนบ้างไม่รู้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องจะกลับมาเป็นตำรวจ แต่ต้องพอสักทีกับการบิดเบือน
.
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของจริยธรรม ไม่ได้ว่าใคร ถ้าผมเป็นผู้นำองค์กรแล้วไปสั่งแบบนี้ ผมเป็นผู้นำแบบนี้แล้วสังคมรู้อย่างนี้ ผมลาออกดีกว่า ผมอยู่ไม่ได้หรอก ผมมีสปิริต”

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า