Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ผ่านปี 2566 ได้เพียง 1 เดือน แต่มีข่าวฉาววงการตำรวจไทยมาแบบไม่พัก ทั้งเรื่องรับไกล่เกลี่ยคดีทุนจีนสีเทา ไม่ให้คนขับเบนท์ลี่ย์เป่าแอลกอฮอล์ รับจ้างขับรถนำขบวนนักท่องเที่ยวจีน ล่าสุดคดีรีดเงินดาราสาวไต้หวัน

  • ตำรวจไทย รีดไถเงิน? ดาราสาวไต้หวัน

ข่าวฉาววงการตำรวจล่าสุดกับประเด็นเรื่องตำรวจรีดไถเงิน ดาราสาวชาวไต้หวัน 27,000 บาท และก็มีการให้ข้อมูลไม่ตรงกันระหว่างฝ่ายตำรวจ และดาราสาว ทั้งเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า อาการเมา การรีดไถเงิน 27,000 บาท

โดยเรื่องนี้กลายเป็นข่าวดัง หลังจากในวันที่ 25 ม.ค. 2566 เพจหนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว เผยแพร่เรื่องราว บอกว่ามีลูกเพจส่งข่าวมา ขอให้ช่วยแปลข่าวนี้ พอไปเช็กหลายเว็บข่าวในไต้หวัน พบว่า หลายสื่อได้ลงจริง ระบุว่า มีดาราไต้หวันรายหนึ่งที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย โดยอ้างว่า ถูกตำรวจไทยขอค้นตัวและรีดไถเงินกว่า 20,000 บาท ซึ่งเธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายแห่งในไต้หวัน

ขณะที่ตำรวจไทย ยังยืนไม่มีหลักฐานเรียกรับเงิน โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2566 พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงหลังการประชุม ยืนยันว่าเบื้องต้นยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกรับเงินตามถูกกล่าวอ้าง

ก่อนที่วันถัดมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าตำรวจห้วยขวางชุดที่ตั้งด่าน รับสารภาพว่ารีดเงิน 27,000 บาท จริง

หลังจากนั้นไม่นาน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการด่วนให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลสั่ง ผกก.สน.ห้วยขวาง ช่วยราชการ หลังจากมีข้อมูลว่ามีตำรวจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

ต่อมา พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกมาแถลงด้วยตัวเองอีกรอบ ระบุว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีความเห็นว่าควรดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในด่านในกรณีที่ละเว้นไม่ดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ให้แจ้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และให้รวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด

ส่วนประเด็นเรื่องการรีดเงินจากนักท่องเที่ยว ขณะนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินคดีในส่วนดังกล่าวเพราะยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน

กระทั่งวันที่ 31 ม.ค. 2566 พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 หัวหน้าชุดในการสอบคดีนี้ เซ็นเด้ง 7 ตำรวจ สน.ห้วยขวาง เผยผลสอบมีมูลพบบุหรี่ไฟฟ้าแต่ไม่ตรวจยึด-จับกุม ซึ่งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

‘นักท่องเที่ยวจีน’ จ้าง ‘ตำรวจไทย’  ขี่รถนำขบวน หนีรถติด ราคาเกือบหมื่น

อีกเรื่องฉาววงการสีกากี จากคลิปไวรัล ‘สาวจีน’ ทดสอบใช้บริการ ‘ตำรวจไทย’ ว่าใช้เงินซื้อได้ทุกอย่างตามคำร่ำลือจริงหรือไม่ โดยในคลิปมีชายแต่งกายคล้ายตำรวจไปรับถึงประตูเครื่องบิน เดินนำทาง ยกกระเป๋า เปิดประตูรถให้ ขับรถคล้ายรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจนำเปิดไซเรน ไปจนถึงโรงแรมที่พัทยา

ในคลิปยังระบุอีกว่า ถ้าใช้บริการรถมอเตอร์ไซต์ตำรวจนำ เสียค่าบริการ 6,000 บาท แต่ถ้าใช้รถเก๋ง เสียค่าบริการ 7,000 บาท

จนกลายเป็นประเด็นร้อน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับทราบเรื่องแล้ว เห็นว่ากระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร จึงสั่งการด่วน ให้จเรตำรวจไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าบุคคลปรากฏตามคลิปตั้งแต่สนามบินถึงการนำขบวน เป็นข้าราชการตำรวจจริงหรือไม่

กระทั่งวันที่ 29 ม.ค. 2566 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ตรวจสอบแล้วพบว่ามีตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 นาย เป็นข้าราชการตำรวจสังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 จำนวน 2 นาย กองบังคับการตำรวจจราจร จำนวน 2 นาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดอาญาและมีมูลเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจต่างสังกัดกันร่วมกันกระทำความผิด

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง ส่วนการดำเนินการทางอาญา ได้ส่งเรื่องให้ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินการอีกส่วนหนึ่งแล้ว พร้อมทั้งให้ต้นสังกัด สั่งให้ตำรวจทั้ง 4 นาย ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำ ศปก. โดยให้พ้นจากหน้าที่เดิม

  • คนไม่เชื่อตำรวจ ไทม์ไลน์ตรวจเลือดคนขับเบนท์ลีย์

อุบัติเหตุเบนท์ลีย์ขับรถชนบนทางด่วน เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นอีกคดีที่ถูกสังคมตั้งคำถาม เพราะหลังจากเกิดเหตุไม่มีการให้เป่าแอลกอฮอล์เพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ นอกจากนี้การให้ข้อมูลเรื่องไทม์ไลน์การส่งตัวคนขับรถเบนท์ลีย์ไปตรวจเลือดเพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ยังไม่ตรงกัน

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดูแลงานจราจร ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2566 หลังจากเกิดเหตุ ระบุว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ 00.38 น. และตำรวจส่งตัวเจ้าของรถเบนท์ลีย์ ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ เวลาประมาณ 01.00-02.00 น.

ส่วนการแจ้งข้อหา มีการแจ้งข้อหาขับขี่รถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายไปแล้วตั้งแต่คืนวันเกิดเหตุ ส่วนข้อหาเมาแล้วขับและความผิดเกี่ยวกับการใช้ความเร็วอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่กู้ภัยที่อยู่ในเหตุการณ์ บอกว่าอยู่ที่สถานีตำรวจจนถึงเวลาประมาณ 04.00 น. กว่าๆ ตำรวจจึงพาคนขับเบนท์ลีย์ ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยได้ไปถึงห้องที่จะตรวจเลือด เวลาประมาณ  04.48 น. คาดว่าน่าจะมีการตรวจเลือดช่วงเวลาประมาณใกล้เคียง 05.00 น.

ต่อมาวันที่ 16 ม.ค. 66 พล.ต.ต.จิรสันต์ แถลงผลการตรวจเลือดของผู้ต้องหา มีสารเสพติด ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำแพทย์ผู้ตรวจประกอบไว้เรียบร้อยแล้ว กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงขอประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการเพิ่มเติม โดยขณะนี้ พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างเรียกตัวผู้ต้องหามาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหา ได้แก่

1. เสพวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยผิดกฎหมาย 2. เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 3. ขับรถโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สิน

  • ตร.ตบทรัพย์ ทุนจีนสีเทา บ้านนาอูรู 

หนึ่งประเด็นใหญ่ ข่าววงการตำรวจที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือเรื่องเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และตำรวจ 191 เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรู และเรียกเอาทรัพย์จากผู้ต้องหาชาวต่างชาติจำนวนกว่า 9 ล้านบาท

โดยนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าของธุรกิจสถานบริการและอดีตนักการเมือง ได้เผยแพร่คลิปขณะเจ้าหน้าที่เรียกรับเงินทุนจีนสีเทา พร้อมระบุข้อความว่า เรื่อง จีนเทา ผลประโยชน์เงินมาก กล้าจ่าย จึงหลุดรอดไปทุกครั้ง

ครั้งนี้อ้างเป็นบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู เป็นแหล่งของพวกจีนเทานิยมไปแปลงสัญชาติ ใช้พาสปอร์ตนาอูรูในการทำธุรกรรมหรือเดินทาง บ้านหลังดังกล่าว จีนเทาใช้เป็นที่ทำพาสปอร์ตและวีซ่าปลอมของประเทศนาอูรู แต่อ้างว่าเป็นบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู

เหตุเกิดวันที่ 22 ธ.ค. 2565 DSI ประสานไปที่ รอง ผบช.น. เพื่อขอให้ศาลออกหมายค้นบ้านโดยยังไม่ได้ตั้งเลขคดี พอศาลออกหมายค้นให้ดีเอสไอก็ขอกำลังตำรวจ 191 และมีทหาร 1 นาย เข้าร่วมค้นบ้าน พบจีน 11 คน มีหมายแดงจากประเทศจีน และมี 1 คนหนีมาจากจินหลิงพบเงินสด 8 ล้านบาท แต่กลับโลภ ยักเอาไว้ 5.5 ล้าน นำส่งบันทึกไว้แค่ 2.5 ล้าน

ส่วนเงิน 5.5 ล้าน แบ่งกันระหว่างดีเอสไอกับตำรวจแต่ยังแบ่งไม่ลงตัว จึงให้จีนเทาไปเอาเงินสดมาอีก 4 ล้าน นัดให้เอามาส่งที่ปั๊มน้ำมัน ดีเอสไอให้ล่ามจีนที่พามาด้วยไปนำเงิน 4 ล้านในถุงกระดาษ หิ้วออกมาจากปั๊ม จาก 5.5 ล้าน ขอเพิ่มอีก 4 ล้าน รวมเป็น 9.5 ล้าน นำไปจัดสรร โดยโทรศัพท์แจ้งไปที่ท็อปเจ้าหน้าที่ระดับสูงดีเอสไอว่าได้เงินเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ปล่อยตัวจีนเทาไปทั้งหมด

และเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2566 หลังจากพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว พบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง จึงออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 16 ราย มีทั้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ, ตำรวจ 191 และ ทหาร รวมทั้งล่ามชาวจีน

จนนำไปสู่ คำสั่งเด้งฟ้าผ่า นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และให้ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แทน

พ.ต.ต.สุริยา บอกว่าคดีนี้ หากผลการสอบสวนพบว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเด็ดขาด

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า