Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ศาลฯ อ่านคำพิพากษาประหารชีวิต ‘อดีตผู้กำกับโจ้’ คดีใช้ถุงดำคลุมศีรษะ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต แต่มีเหตุบรรเทาโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต

วันนี้ (8 มิ.ย. 2565) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 180/2564 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 โจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผกก.สภ.เมืองนครสวรค์, พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง สว.สส., ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค รอง สวป., ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา รอง สวป., ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ ป., ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ผบ.หมู่ ป. และ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผขบ.หมู่ ป. เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐาน

1. เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
2. เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
3. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
4.ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วมทั้ง 2

คดีนี้สืบเนื่องเมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค.2564 พวกจำเลยได้จับกุม นายจิระพงษ์ หรือ มาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต และถูกควบคุมไว้ในคดียาเสพติดและถูกฆ่าถึงแก่ความตายขณะอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานที่สภ.เมืองนครสวรรค์ จำเลยทั้ง 7 คนให้การปฏิเสธ ฐานฆ่าผู้อื่นฯ และให้การรับสารภาพข้อหา

วันนี้ (8 มิ.ย. 2565) อัยการโจทก์ โจทก์ร่วมที่ 1-2 ทนายโจทก์ร่วมและทนายจำเลยมาศาล โดยศาลได้อ่านคำพิพากษาผ่านวิธีวิดีโอคอลเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม สถานที่คุมตัวจำเลยทั้งหมด

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-7 กับพวกรวม 13 คนล่อซื้อจับกุมนายจิระพงษ์ กับแฟนสาว คดียาไอซ์ จากนั้น จำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวผู้ตายมาสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมยาเสพติดที่ห้องปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือห้อง 05 โดยไม่ทราบว่ามีการติดกล้องวงจรปิด แต่เมื่อศาลเปิดภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด ก็ยอมรับว่าเป็นบุคคลในภาพและมีพยานโจทก์ปากอื่นที่เป็นเจ้าหน้าที่กองตรวจพิสูจน์หลักฐานเบิกความยืนยันว่าไม่พบการตัดต่อคลิปภาพดังกล่าว ซึ่งมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายทีละใบ จนครบจำนวน 7 ใบ นาน 6 นาทีเศษ ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เข่าทับร่างกายมิให้ดิ้นรนขัดขืน เพื่อบังคับให้ผู้ตายบอกข้อมูลที่ซุกซ่อนยาเสพติด ซึ่งเมื่อตรวจดูโทรศัพท์ผู้ตายแล้วเจอภาพยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง และข่มขู่ว่า “กูจะเอามึงยันตาย หากไม่บอกความจริง” จนผู้ตายส่งเสียงร้อง และพลัดตกจากเก้าอี้และหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง จากนั้น จำเลยที่ 1 และพวกได้ช่วยกันปั๊มหัวใจ ตรวจดูชีพจร แต่พบว่าผู้ตายหมดสติแล้ว จากนั้นจึงพากันนำส่งโรงพยาบาลปริ๊นซ์ ปากน้ำโพ ซึ่งแพทย์ได้ช่วยเหลือจนสามารถกู้สัญญาณชีพกลับมาได้แต่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต

การที่จำเลย 1, 2, 3, 4, 5 และ 7 ใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตายอาจขาดอากาศหายใจได้ ซึ่งการตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกคลุมศีรษะด้วยถุงพลาสติก จนขาดอากาศหายใจ การกระทำของจำเลยทั้ง 6 คน จึงมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยใช้ถุงพลาสติก 7 ใบ ใช้คลุมศีรษะทีละใบด้วยความโหดร้ายทรมาน

ส่วน ด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 ฟังได้ว่า แม้จะมีส่วนร่วมกับการจับกุมตัวนายจิระพงษ์ แต่เมื่อจำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวมาสอบสวนขยายผลยาเสพติด จำเลยที่ 6 ได้เข้าไปยังห้องที่เกิดเหตุดังกล่าวแล้วเห็นว่าผู้ตายนอนหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง ก็มีการตื่นตกใจและได้เดินออกจากห้องไปไม่กลับเข้ามาอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล จึงได้เข้ามาช่วยเหลือดังกล่าว

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5, 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 289(5) มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย, 308 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 309 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทําความผิดของจำเลยที่ 1-5, 7 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด

ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงและทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น

และฐานร่วมกันฆ่าอื่นผู้โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายเป็นการกระทำ อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1-5, 7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งผลตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง โดยทรมานหรือโดยกระทำ ทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต

ส่วนการกระทําความผิดของจำเลยที่ 6 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

และฐานร่วมกับตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจ่ายอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง และทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจ ต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 มีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุก 8 ปี

จำเลยทั้งเจ็ดรับข้อเท็จจริงบางส่วนและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง หลังเกิดเหตุ จําเลยทั้งเจ็ด พยายามช่วยเหลือผู้ตายโดยช่วยปั๊มหัวใจผู้ตาย และรีบนำตัวผู้ตาย ส่งโรงพยาบาล จนแพทย์ช่วยรักษาผู้ตายมีสัญญาณชีพและหัวใจกลับมาเต้นก่อนที่ผู้ตาย จะถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา รู้สึกความผิดช่วยค่าปลงศพผู้ตายเป็นเงิน 30,000 บาท และวางเงินบรรเทาผลร้ายให้แก่โจทก์ร่วมบิดามารดาทั้งสองคนละ 300,000 บาท นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1-5, 7 ไว้ตลอดชีวิต คงจำคุกจำเลยที่ 6 ไว้ 5 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก

ส่วนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยกระทำทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นบิดาและมารดา ผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แต่เมื่อจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าพนักงาน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้

ผลของมาตรา 5 ดังกล่าว โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดาและมารดาของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้กระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงเป็นผลให้โจทก์ร่วมทั้งสอง ผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่งได้

อ่านคำพิพากษา คลิก 1654680323_33072_

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า