Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ไทยยูเนี่ยน ผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร Intrafish ให้ “CEO” อยู่ในฐานะผู้ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก ได้รับรางวัล SDG Impact Award จากเวที Responsible Business Award 2020 ด้วยโครงการต่างๆ ที่ริเริ่มเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) และล่าสุดไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของบริษัทยังคงดีต่อเนื่อง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดเทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น และทำอาหารทานที่บ้าน  มีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และอาหารที่เก็บได้ยาวนาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากผู้คนทั่วโลกใช้เวลาอยู่กับบ้านและครอบครัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังหันมาสนใจสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัขและแมว  ส่งผลให้ยอดขายประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2563 อยู่ที่ 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิพุ่งสูงทะลุระดับ 2 พันล้านอยู่ที่ 2,056 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าถึง 49.7%  โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้แบ่งเป็น

  • ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง มียอดขาย 16,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%
  • ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มียอดขายเพิ่มขึ้น 7% อยู่ที่ 13,370 ล้านบาท
  • และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายเพิ่มขึ้น 12% อยู่ที่ 5,155 ล้านบาท

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

“ภาพรวมธุรกิจของเราในไตรมาส 3 ต้องถือว่าเป็นปีที่ค่อนข้างจะดีที่สุดไตรมาสหนึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมานะครับ ส่วนในรอบของ 9 เดือน รายได้ของไทยยูเนี่ยน เติบโตขึ้นที่ระดับ 5.9% รายได้อยู่ที่ 98,938 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นเติบโตขึ้น 17.4% และกำไรสุทธิที่ระดับ 4,789 ล้านบาท เติบโตขึ้น 73.6%”

“บริษัทและธุรกิจของเรา ถือเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเวลาที่เกิดวิกฤต จะเห็นว่าตั้งแต่จัดตั้งธุรกิจ เราไม่เคยขาดทุนแม้แต่ไตรมาสเดียวในรอบ 42 ปีที่ผ่านมา ความสามารถในการทำกำไร ตั้งแต่ Asian Crisis, Hamburger Crisis, European Crisis และรวมถึง COVID-19 ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย หรืออะไรก็แล้วแต่ เราจะเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็น อาหาร และมีราคาไม่สูง ถ้าต้องการธุรกิจที่ปลอดภัย ผมเชื่อว่าธุรกิจเราน่าจะปลอดภัยมากที่สุดธุรกิจหนึ่ง”

“ในช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนทั้งในธุรกิจหลักและธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง อาทิ ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร หรือ ingredients  และเทคโนโลยีนวัตกรรมอาหาร  สำหรับสถานการณ์โควิด-19 นั้น ยังเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ โดยไทยยูเนี่ยนเองได้มีมาตรการต่างๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าของเราทั่วโลก  ไทยยูเนี่ยนรู้สึกยินดีที่ผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นและให้การตอบรับแบรนด์ต่างๆ ของเราที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง” ธีรพงศ์ กล่าว

พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมอาหารต้องปรับตัวเป็นสินค้าเฉพาะเจาะจง

ธีรพงศ์ กล่าวอีกว่า เทรนด์ของผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพ และความต้องการของผู้บริโภค ก็มีความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น สินค้าอาหารในอนาคตจะต้องเป็นสินค้าเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นอายุ ฟังก์ชั่น การบริโภคเพื่อความสวยงาม หรือ สุขภาพที่ดี ไทยยูเนี่ยนจึงให้ความสนใจใน Functional Foods, Functional ingredients และรวมถึงกลุ่มอาหารทางการแพทย์ หรือ Medical food

และในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี ได้จับมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ 4 บริษัท โดย 3 บริษัทนั้นมาจากโครงการ สเปซ-เอฟ ที่ไทยยูเนี่ยนได้ร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2562

โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ไทยยูเนี่ยนได้ร่วมลงทุนได้แก่ มันนา ฟู้ดส์ ที่พัฒนาโปรตีนทางเลือก  ส่วน อัลเคมี ฟู้ดเทค นั้นมุ่งเน้นในด้านอาหารสำหรับผู้ป่วย และ ไฮโดรนีโอ เป็นบริษัทที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ  ส่วนบริษัท วิสไวร์ส นิวโปรตีน เป็นผู้นำในการลงทุนในโปรตีนทางเลือก

ถึงแม้ว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ธีรพงศ์ มองว่า ตลาดสินค้าประเภทดังกล่าวในระดับโลกนั้นถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่สูงทีเดียว โดยปัจจุบันตลาดโปรตีนทางเลือกของโลกนั้นมีขนาดถึง 12,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในช่วงระหว่าง ปี 2562-2568 ถึง 6.8% เฉลี่ยต่อปี

ขณะที่ไตรมาส 4 ธีรพงศ์ เชื่อมั่นว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน จะส่งผลให้ปิดยอดปีนี้ได้ในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่ปี 2564 การดำเนินธุรกิจยังใช้สมมติฐานว่า COVID-19 จะอยู่กับโลกต่อไป อย่างน้อยปีหน้าทั้งปี

กลยุทธ์การทำงานที่ได้ทำในปีนี้จะต่อเนื่องในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลการใช้จ่าย การลงทุน และดูแลเรื่องของกระแสเงินสด การจัดการ supply chain เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จนถึงปีหน้า

เตรียมลงทุนประมาณ 6 พันล้านบาท มากที่สุดในรอบ 3 ปี

ขณะเดียวกัน ธีรพงศ์ ได้เปิดเผยถึง งบลงทุนในปี 2564 ว่าได้เตรียมการลงทุนเพื่อรองรับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจใหม่ที่ให้ความสำคัญและสนใจในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม Ingredients งบลงทุนในปัจจุบัน ปกติจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 4.2-4.5 พันล้านบาท หลังจากปีนี้ (2563) ได้มีการตัดงบลงไปอยู่ที่ระดับ 3.7 พันล้านบาท จากตอนแรกที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะลงทุนที่ 4.9 พันล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์จากโควิดในหลายประเทศ ทำให้เดินทางไม่ได้ นอกเหนือจากนั้น ยังได้มีการอนุมัติการสร้างห้องเย็นใหม่เพิ่มขึ้น ที่ประเทศกานา วงเงินประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ

“ถือว่ามากที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะว่า 3 ปีที่ผ่านมา เราเน้นในเรื่องการจัดการภายในของเรา ซึ่ง ณ วันนี้ เราคิดว่าเรามีความพร้อมที่จะดูในเรื่องการลงทุนใหม่ ๆ”

“ธุรกิจในกลุ่ม Ingredients ของเรา ในช่วงที่ผ่านมา เราเน้นเรื่องการผลิตน้ำมันปลาทูน่า ซึ่งโรงงานที่ประเทศเยอรมนี จะกลับมาเริ่มต้นการผลิตได้ในปลายปีนี้ และหวังว่าจะเดินกำลังการผลิตได้เต็มที่ในปีหน้า

เรายังเดินแผนต่อเนื่อง ในการลงทุนในส่วนนี้ โดยเราได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหาร ที่จะลงทุนในโรงงานที่ผลิตโปรตีนไฮโดรไลเซท และคอลลาเจนเปปไทด์ ที่ประเทศไทย วงเงินในการลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ เราจะมีการลงทุนในส่วนของการผลิตอาหารสำเร็จรูป วงเงิน 1 พันล้านบาท ที่ประเทศไทย 2 โครงการนี้ก็จะเป็นการลงทุนที่นอกเหนือจากงบลงทุนปกติของเรา เราต้องการที่จะสนับสนุนมาตรการ นโยบายของภาครัฐ” ธีรพงศ์ เปิดเผย

อย่างไรก็ดี ไทยยูเนี่ยน ยังมองเป็นบวกในธุรกิจปีหน้า แม้จะไม่ได้หวังการเติบโตด้าน top line มากนัก แต่หวังว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตขึ้นในระดับ Single Digit หรือเทียบเท่ากับปีนี้ที่ระดับประมาณ 5%

สำหรับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี โดยเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า