SHARE

คัดลอกแล้ว

แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ก็ไม่อาจสร้างความ ‘ยิ่งใหญ่’ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง เช่นเดียวกับคำพูดของสตีฟ จ็อบส์ ที่กล่าวว่า “Great things in business are never done by one person, They are done by a team of people”

เวลาเราพูดถึงคนเหล่านี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก Jeff Bezos, Bill Gates, Jensen Huang หรือแม้แต่ ‘นักธุรกิจคนรุ่นใหม่’ ของไทยอย่าง ‘ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ บุคคลเหล่านี้สร้างความสำเร็จ และสร้างอิมแพคทั้งในระดับชาติ และในระดับโลกมากมาย ทว่าเบื้องหลังที่พวกเขาสร้างไว้ ส่วนหนึ่งถือกำเนิดจากองค์ประกอบที่เรียกว่า ‘ทีมที่ยอดเยี่ยม’ และการมีหลังบ้านที่แข็งแรง

TODAY Bizview ชวนมาถอดรหัสความสำเร็จของ ‘ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท Bitkub ที่มาเล่าความสำเร็จผ่านรายการ AIM HOUR ‘ความสำเร็จ’ ที่เขายอมแลกมาด้วยความทุกข์ทรมาน การสูญเสียคนรอบข้าง และความเจ็บช้ำที่สุดคือ การสูญเสียตัวตนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ระหว่างทางที่ความเจ็บปวดกัดกินเขาทีละเล็กทีละน้อย เขาก็ยังเดินหน้าสู่เป้าหมายได้สำเร็จ เพราะสิ่งนี้ ‘ทีมที่ยอดเยี่ยม’, ‘หลังบ้านที่แข็งแรง’, และ ‘เป้าหมายที่ชัดเจน’

[ ทีมที่ยอดเยี่ยมจะทำให้เราไปถึงจุดสูงสุด ]

บ้างพูดว่าอยากสำเร็จต้องทำมากกว่าคนอื่น ต้องมุมานะกว่าคนอื่น ต้องคิดให้ไกลกว่าคนอื่น แต่ทุกคำที่กล่าวมานี้ถ้าเรามองลึกไปลงมันล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘การบริหารเวลา’ ซึ่งการบริหารเวลานี่แหละที่เป็นจุดตัดของคนแพ้ และคนชนะ

ท๊อปเองก็มองว่าเวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและหาได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า เท่ากับว่าคุณกำลังสูญเสียมันไปแล้ว แต่ในชีวิตจริง ต่อให้คุณจะมุมานะ พยายาม มุ่งมั่นแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถใช้ทุกวินาทีไปเพื่อความสำเร็จอย่างเดียวได้ ตราบใดที่คุณยังต้องนอน กินข้าว ดูแลสุขภาพและทำตัวเองให้ดูดี สิ่งเหล่านี้ล้วนก็ต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งนั้น

ดังนั้น เพื่อให้ตัวเองไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ศักยภาพที่แท้จริงของเขา (เช่น การเลือกสูทให้ออกมาดูดีที่สุด หรือทำอาหารที่ทั้งอร่อย และสุขภาพดี) ท๊อปจึงเลือกที่จะประหยัดเวลาตรงนี้ ด้วยการมีเลขารอบตัวถึง 7 คน ซึ่งแต่ละคนจะทำหน้าที่ต่างกัน เช่น ดูแลเสื้อผ้า ดูแลการประชุมและนัดหมายต่างๆ ภายในองค์กรหรือภายนอกองค์กร เป็นต้น

ท๊อปเล่าว่าเขาได้แนวคิดนี้มาจากคริสเตียโน โรนัลโด นักฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความสามารถ และอีกคนคือคุณแอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช’ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเดอะมอลล์ กรุ๊ป ซึ่งเธอมีเลขาถึง 8 คน การได้เรียนรู้วิถีการทำงานของสองคนนี้ทำให้เขารู้ว่า ถ้าเราอยากจะไปถึงแค่ระดับพันล้านบาท มันก็พอเป็นไปได้ที่จะทำด้วยความสามารถของตัวเองล้วนๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณอยากกลายเป็นคนเพียง 1% บนโลก คุณจำเป็นต้องมีทีมที่ดีที่ช่วยดูแลทุกอย่าง

ซึ่งท๊อปเอาระบบการทำงานของสองคนนี้มาปรับใช้กับการทำงานของตัวเอง ประกอบกับในฐานะผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท Bitkub เขาต้องเจอความผันผวนของตลาดมากมาย ในทุกๆ วันเขาต้องเจอความไม่แน่นอน และปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องรับมือ เขาจึงได้เรียนรู้ว่า หากงานหลักของเขาเต็มไปด้วยความผันผวน และควบคุมยาก ดังนั้นเขาต้องควบคุมสิ่งที่เขาทำได้ให้มากที่สุด ซึ่งนั่นก็คืองานเบื้องหลัง

ท๊อปเล่าว่าเขาเรียนรู้วิธีคิดนี้มาจาก Coco Chanel ผู้เป็นที่เคารพยกย่องในวงการน้ำหอมและแฟชั่นซึ่งเป็นวงการที่ไม่มีวันหยุดนิ่งและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา Coco ถึงกับประกาศต่อสาธารณชนว่าเธอหลงใหลความไม่แน่นอนเป็นที่สุด เสมือนต้องกินมันเป็นอาหารเช้าในทุกๆ วัน แต่ถึงอย่างนั้น ท๊อปเล่าว่าถ้าไปดูวิถีชีวิตของเธอจริงๆ จะพบว่า Coco ได้สร้างความสมดุลบนชีวิตที่ไม่มีความแน่นอนของเธอด้วยการพักที่โรงแรมเดิมอยู่เสมอ พักห้องเดิมเสมอ นั่งเครื่องบินที่นั่งเดิมอยู่เสมอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ท๊อปนำมาปรับใช้ เขามีทีมเลขาที่คอยช่วยให้เขามีชีวิตเบื้องหลังที่สมดุล เพื่อให้ในทุกๆ วัน เขาสามารถใช้ศักยภาพของเขามาพัฒนาเนื้องานให้สมบูรณ์มากที่สุด

[ หลังบ้านที่แข็งแรงคือยาใจที่ทำให้คุณก้าวต่อไป ]

นอกจากการบริหารเวลาให้งานเบื้องหน้าประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่าเราทุกคนไม่ได้มีแต่หมวกใบเดียวให้สวมใส่ ท๊อปไม่ได้เป็นแค่ CEO Bitkub แต่เขายังเป็นลูกของแม่ สมาชิกของครอบครัว คนรักของแฟน และที่สำคัญเขายังเป็นมนุษย์ ซึ่งนั่นหมายถึงการสร้าง ‘ความสมดุลทางร่างกายและจิตใจ’

หมวกใบต่างๆ นอกจากบทบาท CEO ที่กล่าวถึงนี้คือพลังงานหลังบ้านที่ทำให้เขายังมีแรงออกไปเผชิญกับความท้าทายในฐานะนักธุรกิจในแต่ละวัน

สำหรับหมวกที่ชื่อว่า ‘มนุษย์’ ท๊อปเองก็ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการรู้ข้อจำเป็นและขีดจำกัดของการเป็นมนุษย์ทั้งร่างกายและจิตใจ เขาพยายามจัดสรรเวลาอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปีเพื่อทำตามความฝันในวัยเด็ก (เช่นปีนี้ท๊อปเล่าว่าเขาจะทำกิจกรรมวิ่งเล่นกลางสายฝน) นอกจากนี้เขายังต้องการฝึกสมาธิ เพื่อกระตุ้นความคิดและจิตใจให้แข็งแรงมากขึ้น

ในขณะที่ฝั่งร่างกายท๊อปก็ไม่ได้ทอดทิ้ง นอกจากมีทีมเลขาที่ช่วยดูแลอาหารให้ครบทุกหมู่ เขาหมั่นรีเช็คว่าร่างกายของตัวเองต้องปรับเปลี่ยนหรือฟื้นฟูอย่างไร ท๊อปเล่าว่าทุกวันนี้ระดับความเครียดของเขาค่อนข้างสูง และระดับการนอนหลับลึกก็อยู่ในเกณฑ์ไม่ดี แล้วที่น่าตกใจคือ แม้เขาจะอายุเพียง 34 ปี แต่ด้วยการใช้ความคิดและร่างกายที่หนักหน่วง ทำให้สภาพร่างกายเขาเหมือนคนอายุ 49! ซึ่งนี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ท๊อปต้องกินวิตามินต่างๆ รวมกันวันนึงถึง 30 เม็ด เพื่อบำรุงอวัยวะทุกส่วน

แน่นอนหลายคนคงเดาได้ว่าที่เขามีสภาพร่างกายเช่นนี้เพราะทำงานหนัก ซึ่งท๊อปขยายความว่าทุกวันนี้บริษัทยังต้องพึ่งพาเขาอยู่มาก (แม้เขาจะแอบยอมรับว่าตัวเองก็เป็นผู้บริหารประเภท Micro Management ก็ตาม) ถึงอย่างนั้น เขาพยายามกระจายงานและบทบาทหน้าที่ไปให้กับผู้บริหารคนอื่นๆ มากยิ่งขึ้น และวางแผนจะกระจายงานในมือมากขึ้นอีก เพื่อให้ตัวเองมีเวลาได้พักผ่อนมากขึ้นและมีสมดุลในชีวิตมากขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้หมวกใบอื่นๆ อย่างหมวกของการเป็นลูก เป็นสมาชิกครอบครัว และการเป็นคนรักที่ดี

ท๊อปเล่าว่าแม้หลายคนจะมองเขาเป็นแบบอย่างในเรื่องการทำงาน แต่ ณ ตอนนี้มันยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะสร้างสมดุลให้กับด้านต่างๆ ในชีวิต อย่างบทบาทของความเป็นลูกเขาก็มองว่าตัวเองยังบกพร่อง เพราะปีนี้เป็นปีที่คุณแม่ของเขาอายุครบ 60 ปี แต่เขากลับเป็นสมาชิกคนเดียวที่ไม่ได้ไปร่วมงานวันเกิดได้ และแน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

ส่วนบทบาทของการเป็นคนรัก เขาก็อาจจะไม่ใช่คนที่โรแมนติกมากนักเมื่อเทียบกับคู่อื่น ท๊อปเล่าว่าในช่วง 5 ปีแรกที่คบหากับคนรัก เขาไม่เคยมอบอะไรให้เธอเลย รวมถึงไม่เคยมีเดทในวันสำคัญๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยู่กับเขามาจนถึงทุกวันนี้ (แน่นอนว่าท๊อปคุยกับคนรักตั้งแต่แรกว่าเขาให้ความสำคัญกับงานมากที่สุด และทั้งคู่ก็เข้าใจในกันและกัน)

แม้จะเป็นฝ่ายที่อาจเรียกได้ว่า ‘ละเลย’? คนรอบข้างไปบ้าง แต่เขาตระหนักดีว่าการมีครอบครัวและคนรักที่ดีเป็นหนึ่งในปัจจัยยิ่งใหญ่ทำให้เขามาไกลและประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เพราะทั้งครอบครัวรวมถึงคนรักไม่ใช่แค่เข้าใจ แต่ยังสนับสนุนความเป็นเขา สนับสนุนสิ่งที่เขาทำ คอยให้กำลังใจ คอยรับฟัง เป็นพื้นที่ปลอดภัยในเวลาที่เขาต้องเผชิญกับความท้าทายภายนอกมากมาย และนี่เป็นหนึ่งในการมี ‘หลังบ้านที่แข็งแรง’ ที่ทำให้ท๊อปเป็นท๊อปอย่างทุกวันนี้

[ อย่าทิ้งเป้าหมายเพียงเพราะมันยาก ]

นอกจากการมีทีมที่ยอดเยี่ยม และการมีหลังบ้านที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่พาท๊อปไปอยู่ระดับแถวหน้าของวงการ แต่สิ่งที่หนึ่งขาดไปไม่ได้ และเขาคงไม่มีวันเป็นท๊อปในวันนี้คือ ‘การมีเป้าหมายที่ชัดเจน’ ท็อปเล่าว่ากว่าเขาจะมาเป็นเขาในวันนี้ได้ เขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากมาย มันคือช่วงเวลา 7 ปีที่ทำงานติดต่อกัน 7 วันต่อสัปดาห์ และแน่นอนว่าเป็น 7 ปีที่ปราศจากรสชาติของการใช้ชีวิตอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงแรกของการตั้ง Bitkub เขาต้องรับมือกับการตั้งคำถามของสังคม คำเยาะเย้ย คำดูถูก แต่สิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับการสูญเสียตัวตนเดิมไปตลอดกาล ท๊อปเล่าว่าตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานอดิเรกตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่าชอบอะไร และไม่มีเวลามากพอจะค้นหาสิ่งนั้นด้วย นอกจากนี้เพื่อนที่เคยสนิท เคมีที่เคยมีให้กันก็เปลี่ยนไปจนอาจจะเรียกได้ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่มีเพื่อนจริงๆ

ท๊อปถึงกับพูดว่า นับตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจวันแรกจนถึงวันนี้ หากย้อนกลับไปได้ เขาขอไม่เจออะไรแบบเดิมซ้ำเป็นหนที่สองอีกแล้ว เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ร้ายกาจและแสนทรมาน

แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเวลาแห่งการเติบโตและการสูญเสียท๊อปตระหนักได้ว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งดีและร้ายล้วนเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาต้องเผชิญ การเปลี่ยนเป็น ‘ท็อปคนใหม่’ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตราบใดที่เขามุ่งมั่นจะเดินตามเป้าหมายที่เขาวางไว้ มีเฉพาะคนที่คู่ควรเท่านั้นที่จะได้รับรางวัลใหญ่ และนั่นคือเหตุผลที่เขาต้องละทิ้งบางสิ่ง เพื่อแลกมาซึ่งบางอย่าง เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นคนที่คู่ควรต่อเป้าหมายที่เขากำหนดขึ้นมาเอง

ซึ่งเป้าหมายที่ว่านี้คือ ‘การสร้างแรงกระเพื่อมต่อสังคม’ และวันนี้เขาทำได้สำเร็จ วันนี้ท๊อปปลายเป็นคนไทยที่ได้ขึ้นพูดบนเวที Davos (World Economic Forum) ได้พบปะกับผู้นำระดับโลกมากมาย ได้สร้างอิมแพคให้กับสังคมผ่านการเดินทางของ Bitkub ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ของไทย และสร้างประโยชน์อีกมากมาย

ท๊อปมองว่าสิ่งเหล่านี้มันคุ้มค่าที่จะแลกมาด้วยอะไรก็ตามที่เขาสูญเสียไประหว่างทาง เขาทิ้งท้ายไว้ว่าชีวิตของเขาเปรียบเสมือนคำพูดของ Jeff Bezos ที่บอกว่า “Will you choose a life of ease, or a life of service and adventure?” (คุณจะเลือกใช้ชีวิตอย่างสบายๆ หรือใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยการบริการและการผจญภัย?)

ท๊อปเสริมว่านี่มันไม่ใช่ชีวิตที่เรียบง่ายหรือสบายนัก ไม่ใช่ชีวิตที่น่าเบื่อและซ้ำซาก แต่มันคือชีวิตที่เต็มไปด้วยความผกผัน คุณจะได้สัมผัสจุดที่ต่ำสุดในชีวิต และขณะเดียวกันคุณก็จะได้เอื้อมไปถึงจุดที่สูงสุดในชีวิตด้วยเช่นกัน และนี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากพอที่จะใช้ต่อไป

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า