ผอ.สัตว์ป่าฯ ลั่น ! เอาผิด “บิ๊กอิตาเลียนไทย” ได้แน่

ประเด็นคือ – ผอ.สำนักสัตว์ป่าฯ เผยเอาผิด “เปรมชัย” ได้แน่นอน ลั่นไม่เคยรู้จักเปรมชัย และไม่คิดว่าคนระดับนี้จะเข้าไปล่าสัตว์  

วันที่ 6 ก.พ. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน ถูกจับกุม พร้อมของกลาง อาวุธปืนล่าสัตว์ และสัตว์ป่าซากเสือดำ เก้ง และ ไก่ฟ้าหลังเทา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี นั้น

ล่าสุด ที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น.ส.กาญจนา นิตยะ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ ได้แถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า การเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ฯ มีการกำหนดแนวทางและหลักปฏิบัติไว้ชัดเจน โดยมอบหมายอำนาจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ คือ กรณีขออนุญาตถ่ายทำภาพยนต์และขอใช้บ้านพักในเขตรักษาพันธุ์ฯ ต้องขออนุญาต ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า โดยระยะเวลาการขออนุญาตจะใช้เวลาประมาณ 5 วัน ส่วนการขอนุญาตเข้าไปศึกษาธรรมชาติ พักการเต็นท์ ต้องขออนุญาต ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีนี้คือ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และการขออนุญาตเข้าไปพื้นที่แบบไปเช้าเย็นกลับ สามารถขออนุญาตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ ได้เลย

น.ส.กาญจนา กล่าวว่า สำหรับการเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ฯ ทุ่งใหญ่ ฝั่งตะวันตก สามารถเข้าได้ 4 เส้นทาง เป็นเส้นทางสำหรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศสำหรับศึกษาธรรชาติ โดยใช้รถยนต์ มีการกำหนดว่าจะเข้าได้กี่วัน ขนาดล้อรถยนต์เท่าไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อสภาพแวดล้อม และไม่อนุญาตให้ใช้เส้นทางน้ำเด็ดขาด

ทั้งนี้ ตนได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่ระบุว่าเป็นผู้ประสานงานของ นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ว่าจะขอเข้าพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งตนได้แจ้งให้ไปประสานกับทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ได้เลย เพราะเป็นการขอเข้าพักกางเต็นท์เพื่อศึกษาธรรมชาติ ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกับนายเปรมชัยเป็นการส่วนตัว

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่านายเปรมชัยเป็นแขกของตน น.ส.กาญจนา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการศึกษาธรรมชาติในเขตรับผิดชอบของกรมอุทยานฯ เป็นแขกของเจ้าหน้าที่ทุกคน และปฏิบัติกับทุกคนที่มาติดต่อเช่นเดียวกันและเท่าเทียมกันหมด ซึ่งตนไม่ค่อยรู้จักคนมีชื่อเสียง หรือคนใหญ่คนโตอยู่แล้ว ทั้งนี้ การขอให้อำนวยความสะดวกในการเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ นั้น ไม่ค่อยเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่มีความสะดวกสบายมากนัก ส่วนมากจะเป็นการขอเข้าพื้นที่อุทยานฯ ใหญ่ๆ มากกว่า

สำหรับการตรวจค้นอาวุธก่อนกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้าพื้นที่ น.ส.กาญจนา กล่าวว่า มีการสุ่มตรวจตามปกติ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนระดับนี้จะกระทำการแบบนี้ เพราะขอเข้าไปศึกษาธรรมชาติ ซึ่งปกติก็มีการตรวจสอบสิ่งของที่นำเข้าไปและนำออกมาอยู่แล้ว เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่อยู่ ถือเป็นโชคที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำดังกล่าว แต่โชคร้ายที่เราสูญเสียสัตว์ป่าไปหลายตัว โดยเฉพาะเสือดำ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองขนาดใหญ่ หายาก ขณะนี้ในพื้นที่เหลืออยู่ไม่เกิน 130 ตัวเท่านั้น ยืนยันว่ากรมอุทยานฯ จะเร่งติดตามคดีให้ถึงที่สุด โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางเข้าไปช่วยทำสำนวน เพื่อให้เกิดความรัดกุมและสามารถเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้ โดยเรื่องนี้นายเปรมชัยต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะอยู่ในร่วมในเหตุการณ์ และจะอ้างว่าเป็นลูกน้องดำเนินการ แต่ไม่ห้ามปรามไม่ได้

นอกจากนี้ กรณีที่ นายธรรมรัฐ วงศ์โสภา รักษาการ ผอ.สำนักพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ระบุว่า คณะของนายเปรมชัยไม่ได้ขออนุญาตก่อนเข้าพื้นที่ น.ส.กาญจนา กล่าวว่า ถือว่าเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง คือเข้าพื้นที่ก่อนได้รับอนุญาต โดยทราบว่ากลุ่มดังกล่าวจะขอเข้าพื้นที่ระหว่างวันที่ 3-5 ก.พ. ซึ่งได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า ช่วงเย็นวันที่ 3 พบกลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในจุดที่อนุญาตให้พักแรมได้ และได้แจ้งให้กลับไปอยู่ในจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนด

น.ส.กาญจนา กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เดิมในจุดดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่อยู่ 4 นาย ระหว่างลาดตระเวนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงได้ขอกำลังมาสมทบเพิ่ม และได้เข้าไปตรวจในบริเวณรอบๆ เต็นท์ของผู้ต้องหา พบกระสุนปืนตกอยู่ 1 ปลอก จึงผิดสังเกต และได้เข้าตรวจค้น จึงพบซากสัตว์ดังกล่าว คาดว่ามีการเตรียมการไว้ว่าจะเข้ามาล่าสัตว์ เพราะนอกจากอาวุธแล้ว ยังมีเกลือจำนวนมากนำเข้ามาอีกด้วย

ขอบคุณภาพจาก FB: ศศิน เฉลิมลาภ