ผู้นำบังกลาเทศ ตำหนิเมียนมา ล้มเหลวรับผู้ลี้ภัยโรฮีนจากลับประเทศ

นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศตำหนิเมียนมา ล้มเหลวในการรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากลับประเทศ เท่ากับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์-ก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

นางเชค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ กล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่มหานครนิยอร์ก สหรัฐอเมริกาว่า การกระทำของรัฐบาลเมียนมาต่อชาวโรฮีนจา ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ เนื่องจากล้มเหลวในการรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากลับประเทศ

เชค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ / AFP

ที่ผ่านมา ทางการเมียนมาได้ให้ความร่วมมือกับบังกลาเทศเป็นอย่างดี เพื่อหาแนวทางแก้ไขวิกฤติชาวโรฮีนจาอย่างสันติ จนทั้งสองชาติบรรลุข้อตกลงกันได้ โดยรัฐบาลเมียนมา รับปากจะรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากลับมาตุภูมิ

แต่เธอกลับต้องรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เมื่อแผนการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา ยังไม่เริ่มในรูปแบบที่ถาวรและยั่งยืน เพราะความเป็นจริง ทางเมียนมายังไม่ยอมรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับประเทศ

ในที่ประชุม นายกฯ บังกลาเทศ ยังเรียกร้องประชาคมโลก เพิ่มความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา จำนวนราว 1.1 ล้านคน ที่อพยพหนีความรุนแรงจากเมียนมา เข้าสู่บังกลาเทศ และเร่งหาแนวทางแก้ไขวิกฤติดังกล่าว ด้วยสันติวิธีโดยเร็ว

ก่อนหน้านี้ เจ้าชายเซอีด ราอัด อัล ฮุซเซน ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แสดงความเห็นว่า นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมาควรลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุกวาดล้างชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่เมื่อปี 2560

ออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา

เพราะเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยให้ความชอบธรรมกับปฏิบัติการของกองทัพ ในการเข้าปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมในพื้นที่ ซึ่งชาวโรฮีนจาตั้งถิ่นฐานอยู่ โดยอ้างเป็นการตอบโต้กลุ่มก่อการร้าย

ทำให้ชาวโรฮีนจาต้องอพยพหนีตายไปบังกลาเทศกว่าล้านคน และอีกจำนวนหลายคนต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต

ล่าสุด นางออง ซาน ซูจี ก็เพิ่งถูกถอนสถานะพลเมืองกิตติมศักดิ์ ประเทศแคนาดา จากมติอย่างเป็นเอกฉันท์ของสภาผู้แทนราษฎรแคนาดา เพื่อตอบโต้ที่นางซู จี ล้มเหลวในการยุติการไล่ล่าสังหารชาวโรฮิงญาในเมียนมา

อย่างไรก็ตาม นางซู จี ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติ ให้ประณามการกระทำอันรุนแรงต่อชาวโรฮีนจา ของกองทัพเมียนมา แต่ที่ปรึกษารัฐเมียนมาหญิงผู้นี้ ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด

ชาวโรฮีนจาในค่ายผู้ลี้ภัย ในประเทศบังกลาเทศ / AFP