เจ้าอาวาสวัดดังโต้ข่มขืนสาว 2 ครั้งซ้อน ยันไม่ได้ทำ งงอสุจิอยู่ในช่องคลอดได้อย่างไร

เจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย ออกมาชี้แจงแล้ว หลังถูกสีกาแจ้งความโดนข่มขืน 2 ครั้งซ้อน ยืนยันไม่ได้ทำ ไม่รู้ผลตรวจอสุจิอยู่ในช่องคลอดได้อย่างไร ขอสู้ผ่านกระบวนการยุติธรรม

จากวันที่ 14 ก.ย. 61 นางสาวฟ้า (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี เข้าร้องศูนย์ดำรงธรรม จ.เลย ว่า พระบุญช่วย (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง บ้านโพนสว่าง ต.นาดอกคำ อ.นาด้วง จ.เลย ทักว่าเธอโดนของต้องทำพิธีไล่ผีออกจากตัว เอายาสมุนไพร 108 จบ มานวดตามร่างกาย จนตัวเองรู้สึกตัวว่าไม่มีแรง จากนั้นเจ้าอาวาสได้ใช้กำลังและข่มขืนจนเสร็จ 2 ครั้ง

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. (18 ก.ย. 61) ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจากชาวบ้านว่า พระบุญช่วย อายุ 53 ปี เจ้าอาวาสวัดที่ถูกกล่าวหา ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีข่มขืนสีกาคากุฏิต่อผู้สื่อข่าว จึงได้เดินทางไปสอบถามข้อเท็จจริง โดยมีปลัดเทศบาลนาดอกคำ พร้อม จนท.เทศบาล 7 คน และชาวบ้านกว่า 20 คน ล้อมวงเพื่อฟังข้อเท็จจริงจากพระบุญช่วย ที่บริเวณลานธรรม

พระบุญช่วย บอกว่า ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ทุกอย่างมีพยานหลักฐาน และผู้เสียหายก็เป็นคนทาน้ำมันตัวเอง พระอาจารย์ไม่ได้เป็นคนทา วันนี้ขอพูดความจริง เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา ไม่เคยคิดจะไปเปรอะเปื้อนสิ่งเหล่านี้ ซึ่งภายในวัดมีการอาบน้ำมนต์กัน คืนนั้นจู่ๆ สีกาก็ปรากฏตัวขึ้นมา มีคนอ้อนวอนให้ช่วยรักษา และยืนยันว่าไม่มีการชวนสีกาเข้าไปในกุฏิ และไม่อยากพูดอะไรมากขอให้ไปให้การชั้นศาลอย่างเดียว

ส่วนกรณีที่ผลตรวจดีเอ็นเอออกมา ว่าอสุจิในช่องคลอดของสีกาเป็นของพระอาจารย์ ก็ขอปฏิเสธอย่างเดียว ยังบอกไม่ได้ และขอไปให้การชั้นศาล และไม่รู้ว่าส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นสีกาเป็นคนปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา โดยวันที่ตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุพระอาจารย์เหมือนถูกวางยาด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกตัว ซึ่งพระอาจารย์เชื่อมั่นอย่างสูงว่าไม่ได้ทำผิด และสงสัยว่าดีเอ็นเอมาจากไหน ขอให้ไปคุยกันที่ศาล และไม่มีอะไรที่จะตอบคำถามอีก จากนั้นจึงขอตัวกลับกุฏิ

สอบถามชาวบ้าน เล่าว่า ถ้าผลตรวจดีเอ็นเอออกมาตรงกับพระอาจารย์ ก็ไม่อยากให้สึก อยากให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะพระอาจารย์เป็นคนสร้างวัดและทำให้วัดเจริญมาถึงทุกวันนี้

ด้าน สิบตำรวจโท ไพฑูรย์ ภูคงคา ปลัดเทศบาลนาดอกคำ บอกว่า ในส่วนที่พระอาจารย์พูดตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในข่าวและคำพูดของพระอาจารย์มีความขัดแย้งกัน การตอบคำถามของพระอาจารย์ยังไม่มีความชัดเจน ยังแบ่งรับแบ่งสู้ แนวทางการพิสูจน์พยายามที่จะโยนไปที่กระบวนการยุติธรรมอย่างเดียว