ไล่จับ ‘แก๊งเขมร’ ลอบตัดไม้พะยูง ชายแดนไทย รวบได้ 1 ราย

ประเด็นคือ – เจ้าหน้าที่ขุนหาญไล่จับแก๊งวัยรุ่นเขมร ลอบตัดไม้พะยูงกลางป่าใกล้ชายแดน ได้ผู้ต้องหา 1 คน ยึดไม้พะยูงกว่า 20 ท่อน ที่เหลือ 6 คน วิ่งหนีป่าราบ

วันที่ 29 เม.ย. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์ดำรงธรรม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ นายคมป์ สังข์วงษ์ นายอำเภอขุนหาญ และ พ.ต.อ.ศิโรฐย์ อินทรสมบัติ ผกก.สภ.กันทรอม เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งว่า มีการแอบลักลอบตัดไม้พะยูง ที่บริเวณป่าภูดินสอ อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 7 กม. ท้องที่บ้านโนนทองหลาง ม.10 ต.กันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ จึงได้สั่งการให้ น.ส.อมร นามบุตร ปลัดอำเภอ หน.กลุ่มงานบริหารงาน ปค. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบร่องรอยการขุดตอไม้พะยูงหลายจุด จึงได้ติดตามร่องรอยการเดินของกลุ่มผู้กระทำผิด และปรากฏว่า ได้ยินเสียงคนเลื่อยไม้อยู่ด้านหน้า ห่างไปประมาณ 50 เมตร โดยพบกลุ่มผู้ก่อเหตุ จำนวน 7 คน กำลังเลื่อยไม้และถากไม้พะยูงอยู่ เมื่อเจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าจับกุม กลุ่มชายฉกรรจ์ได้พากันวิ่งหนีเข้าป่า เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามเพื่อจับกุม แต่คนร้ายได้ใช้ความชำนาญในพื้นที่วิ่งหลบหนีเข้าป่าไปในเขตประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถไล่ตะครุบจับกุมไว้ได้เพียง 1 คน

จากการตรวจสอบรอบบริเวณที่เกิดเหตุพบว่า มีการก่อสร้างลักษณะเป็นที่พักมุงด้วยผ้ายางใส และพบไม้พะยูงถูกตัดเป็นท่อนเอาไว้แล้ว ประมาณ 20 ท่อน แต่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถนำลงมาจากป่าได้ เนื่องจากว่าเป็นป่ารกทึบ พื้นที่ไม่เอื้ออำนวยและห่างไกลเส้นทางคมนาคม เจ้าหน้าที่จึงได้เผาไม้พะยูง จากนั้น นำของกลางไม้พะยูง จำนวน 4 ท่อน/เหลี่ยม พร้อมด้วยเลื่อยมือ จำนวน 1 ปื้น ขวาน จำนวน 1 เล่ม ออกมาจากป่าเพื่อประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบชื่อผู้ต้องหา คือ นายซก รอง อายุ 16 ปี เป็นชาวกัมพูชา อยู่ที่บ้านสะเเอม ต.กันตรวด อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร โดยได้ให้การว่า ได้แอบลักลอบเข้ามาในเขตประเทศไทย พร้อมกับเพื่อนหมู่บ้านเดียวกัน รวม 7 คน แต่ไม่ทราบว่าช่องทางที่พวกตนเข้ามานั้นเป็นจุดใด โดยเข้ามาตั้งเต็นท์หาไม้พะยูง ได้ 7 วันแล้ว จากนั้นจะนำเอาไม้พะยูงเข้าไปขายในเขตกัมพูชา ในราคา กก.ละ 120 บาท

เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางบางส่วนไปส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.กันทรอม ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนของกลางทั้งหมดได้นำเอาไปเก็บรักษาไว้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา เพื่อรอดำเนินการต่อไป