ผบ.ตร.สั่งผู้การฯ ตรังให้ตำรวจหลอนยิงบ้าน ส.ส. ออกราชการไว้ก่อน

รวบดาบตำรวจหลอนยิงให้บ้าน ส.ส. ปชป. ถูกจับกุมได้ทันควันสารภาพก่อเหตุจริง จากนั้นกลับเข้าบ้านนอน ด้านผู้การฯ ตรัง สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาหนัก พยายามฆ่า 2 คดี

วันที่ 21 ต.ค. 2562 พล.ต.ต.ถาวร แสงฤทธิ์ ผบก.ภ.จว.ตรัง พร้อม พ.ต.อ.พูลศักดิ์ เซ็งแซ่ รอง ผกก.อำนวยการ ปจว.ตรัง รักษาการแทน ผกก.สภ.ย่านตาขาว เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุที่บ้านเลขที่ 226 ถ.ตรัง-ปะเหลียน อ.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของน.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง เขต 3 ปชป. และนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ (พ่อ) อดีต ส.ส.ตรัง หลายสมัย และประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร  พบร่องรอยกระสุนปืนจำนวนหลายนัดที่ประตูรั้วบ้าน มีร่องรอยกระสุน 2 นัด นอกจากนั้นคมกระสุน ขนาด 11 ม.ม.และ .357 ยังเจาะไปที่ต้นไม้จนผิวฉีกขาด พบหัวกระสุนตกในที่เกิดเหตุ 2 หัว

ทั้งนี้ ช่วงกลางดึกที่ผ่านมาเกิดเหตุ ด.ต.สุรพงค์ จิตรบุญ อายุ 41 ปี ตำรวจสายตรวจ สภ.ย่านตาขาว ใช้ปืนยิงใส่บ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทำการควบคุมตัว ที่บ้าน 160/11 หมู่ที่ 1 ซอยสันติสุข ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง แต่คนร้ายไม่ยอมใช้อาวุธปืนขนาด 11 ม.ม.ยิง พ.ต.ท.จุลพงศ์ อัตบุตร สารวัตรสืบสวน สภ.ย่านตาขาว 1 นัดแต่กระสุนพลาด ตำรวจจึงจับกุมตัวด.ต.สุรพงษ์ ไว้ได้พร้อม อาวุธปืน ที่ใช้ก่อเหตุ เป็นปืนพกสั้น ขนาด 357 สมิทแอนเวสสัน ไม่มีทะเบียน ยิงไป 5 นัด เหลือ 1 นัดในลูกโม่ มีการใช้งานแต่ไม่ลั่น ปืนครก.30 หรือ 11 มม.มีทะเบียน บรรจุ 10 นัด ยิงหมดกระสุน ด.ต.สุรพงค์ ให้การรับสารภาพว่าใช้อาวุธปืนบุกไปยิงบ้านส.ส.จริง โดยขับรถไป หลังก่อเหตุก็กลับมาบ้านพัก

ในระหว่างที่ตรวจสอบสถานที่ พล.ต.ต.ถาวร แสงฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ตรัง ได้รายงานเหตุที่เกิดขึ้นให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ทราบ ซึ่งทาง ผบ.ตร.สั่งให้ ตำรวจที่เสพยาเสพติดและใช้อาวุธปืนบุกยิงบ้านส.ส.และอดีต.บ้าน ส.ส.ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะตำรวจจะเสพยาเสพติดและยุ่งเกี่ยวยาเสพติดไม่ได้ ในเวลาต่อ พล.ต.ต.ถาวร ก็เลิกภารกิจที่จะไปประชุมที่กรุงเทพในวันนี้ เพราะคดีนี้มีความสำคัญ อีกทั้งที่บ้าน นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ปชป. เขต 3 ตรัง ส.ส.ไม่อยู่ที่บ้านเกิดเหตุเพราะมีภารกิจไปต่างประเทศ มีเฉพาะอดีต ส.ส.สมชาย โล่สถาพรพิพิธ (พ่อ) อยู่บ้านเกิดเหตุ

นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีตส.ส. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ด.ต.สุรพงค์ จิตรบุญ เคยก่อเหตุก่อกวนที่หน้าบ้านของตนครั้งแรกเมื่อประมาณ 1 ปีเศษ จึงให้ตำรวจเรียกมาพูดคุย เรื่องก็เงียบไป จนเมื่อเดือนที่แล้ว ขับรถยนต์มาขวางหน้าประตูบ้านของตนเอง ตอนนั้นตนกลับมาจากงานศพ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาพูดคุย เขาบอกเขาไม่มีปัญหาอะไร จนครั้งนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ก่อเหตุรุนแรงใช้อาวุธปืนพกสั้น 2 กระบอกยิงประตูรั่วเข้ามาในบ้านของตน ตนเองไม่รู้ดาบตำรวจนายนี้เป็นการส่วนตัว ยังจำหน้าไม่ได้ แต่ทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า มีประวัติเสพยาเสพติด เมื่อเสพยาอาการหลอน แล้วจะมาก่อเหตุ เอะอะโวยวายจะมาหาเรื่องที่บ้านตนเองทุกครั้ง ตนเองไม่มีปัญหากับใคร เพราะเราเป็นส.ส.และอดีต ส.ส.ปัจจุบันให้ลูกสาวคือนางสาวสุณัฐชา เป็น ส.ส.ทำหน้าที่ตรงนี้ไป ในส่วนของคดีก้ต้องดำเนินคดีไป อีกทั้งตามวินัยของตำรวจ ในส่วนนี้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดต้องดำเนินการไปตามกฎหมายบ้านเมืองและวินัยของตำรวจที่กระทำผิด

พ.ต.อ.พูลศักดิ์ เซ็งแซ่ รอง ผกก.อำนวยการ ปจว.ตรัง รักษาการแทน ผกก.สภ.ย่านตาขาว กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อคืนประมาณ 5 ทุ่มเศษ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงบ้าน ส.ส.นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ จนได้รับความเสียหายที่ประตูรั้วบ้าน หลังจากนั้นพ.ต.ท.จุลพงศ์ อัตบุตร สารวัตรสืบสวนนำกำลังไปติดตามคนร้ายทราบชื่อคือ ด.ต.สุรพงค์ จิตรบุญ เจ้าหน้าที่สายตรวจ แต่ทาง ด.ต.สุรพงค์ ขัดขืนไม่ให้จับจ่อปืนพกสั้นจ่อมาที่ พ.ต.ท.จุลพงศ์ อัตบุตร ได้ล็อคแขนกระสุนปืนลั่น 1 นัดไม่ถูกใคร จึงคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.ย่านตาขาว พร้อมอาวุธปืนที่ก่อเหตุ 2 กระบอก เบื้องตนพบว่ามีอาการหลอน เหมือนเมาอะไรมา เมื่อคืนเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานก็ตรวจเขม่าดินปืนที่ผู้ก่อเหตุแล้ว อีกทั้งตรวจปัสสาวะ ทุกอย่างรอผลการพิสูจน์ เพื่อรวบรวมเป็นพยานหลักฐานในคดี มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ผู้ต้องหาเพิ่งย้ายมาจาก สภ.ปะเหลียน มาประจำที่ สภ.ย่านตาขาว 3-4 เดือน

ร.ต.อ.สุวิทย์ สุวรรณราช ร้อยเวรสอบสวน เจ้าของคดี กล่าวว่า มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหา 2 คดี คดีแรก ก็แจ้งข้อหาพยายามฆ่าที่บ้าน ส.ส. นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ และทำให้เสียทรัพย์ อีกคดี พยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ส่วนข้อหาอื่น ๆ รอผลการพิสูจน์ผลปัสสาวะ อาวุธปืนมีทะเบียนถูกต้อง และมีใบอนุญาตพกพาหรือไม่ เพราะทุกหมดเป็นอาวุธส่วนตัว ไม่ใช่อาวุธปืนของทางราชการ ยังสืบสวนผู้ต้องหาไม่ได้เพราะ เอะอะโวยวายตลอดเวลารอให้อาการสงบก่อน