สธ.ยัน ไม่ห้ามเอกชน สั่งนำเข้าวัคซีนโควิด-19 และไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัวที่เข้าไปซื้อหุ้น

สธ.ยัน ไม่ห้ามเอกชน สั่งนำเข้าวัคซีนโควิด-19 และไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัวที่เข้าไปซื้อหุ้น ชี้สถานการณ์ในไทยไม่สามารถรอผลการทดลองวัคซีนจนสมบูรณ์แบบได้

วันที่ 10 ม.ค. 2564  นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ  ร่วมกันแถลงข่าวถึงสถานการณ์โควิด -19 และความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19

โดยอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า การเกิดโรคระบาดในทุกครั้ง วัคซีนเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาด แต่อาจจะไม่ใช่การกำจัดโรค แต่การแพร่ระบาดจะลดลงจนยุติ โดยหลักการฉีดวัคซีน ก็เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันระดับหนึ่ง และจะต้องปกป้องการแพร่ระบาดในชุมชนก่อน จึงต้องฉีดให้มีความคุ้มกันในระดับหนึ่ง ซึ่งวัคซีนจะต้องผ่านการทดลอง ความปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ทั้งนี้ถ้ารอการทดลองจนเสร็จสิ้น แล้วค่อยรอสั่งอาจจะสายเกินไป ซึ่งประเทศไทยก็จะไม่รอจนถึงการทดลองเฟส3 โดยที่สั่งมาเป็นผลการทดลองในเฟส2 เพราะมีการแพร่ระบาดอย่างกว้างขางแล้วทำให้รอไม่ได้  โดยปัจจัยการเลือกวัคซีน มีทั้งคุณสมบัติ /ราคา/จำนวน และช่วงเวลาที่ได้รับวัคซีน และไม่อยากให้มีวัคซีนชนิดเดียว เพราะหากไม่ได้ผลหรือเกิดผลไม่พึ่งประสงค์เพราะจะสุ่มเสี่ยง จึงหาทางเลือกที่จะเจรจากับวัคซีนหลายชนิด แต่ต้องไม่เกิน3ชนิด เพราะถ้ามากกว่านี้จะยากต่อการเตรียมการ และในประเทศไทยมีกลไกคณะกรรมการวันซีนแห่งชาติและคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่จะพิจารณาสถานการณ์ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพต่างๆ

ส่วนข้อกังวลที่เกิดขึ้นก็พร้อมรับฟัง แต่อาจจะยังได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน เช่น กรณีที่เอกชนจะนำเข้าแล้วมาเปิดจองซื้อแต่ไม่ให้โฆษณานั้น ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ห้ามเอกชน หากจะนำเข้า ถ้าทำตามกติกา ส่วนรัฐบาลก็เตรียมวัคซีนให้คนไทยฟรีอยู่แล้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องไปฉีดอย่างเร่งรัด ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายไปฉีดกับเอกชน ส่วนกรณีที่ไทยนำเข้า วัคซีนซิโนแวค ของจีน แล้วปรากฎมีเจ้าสัวของบริษัทหนึ่งไปซื้อหุ้มเพิ่ม ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกันกับบริษัทที่ไปลงทุนเพิ่ม เพราะวัคซีน26ล้านโดสจะส่งมอบได้ปลายเดือน พ.ค. และได้หาวัคซีนจากหลายทาง รวมถึงจีนด้วย

ขณะที่นายแพทย์นคร อธิบายว่า เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันหาข้อมูลวัคซีนมาอย่างต่อเนทาองก่อนจะมีการพิจารณาจองซื้อและจัดหาวัคซีนเข้ามา และวัคซีนแต่ละตัวมีผลข้างเคียง หลังการฉีดทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ซึ่งการใช้วัคซีนโควิด-19 เป็นการใช้วัคซีนในภาระเร่งด่วน เป็นช่วงที่ต้องทยอยฉีดวัคซีนไปพร้อมกับการเก็บข้อมูล ถ้าฉีดวัคซีนไป1ล้านโดส หรือถึง1ล้านคน จะเริ่มเห็นผลข้างเคียงอื่นๆขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลที่ไม่เจอในหลักห้าหมื่นคนที่ทำการทดลอง โดยวัคซีนทุกตัวจะต้องเก็บข้อมูลความปลอดภัยอีกอย่างต่อเนื่องและจะทำให้ระมัดระวังแบบประเทศอื่นๆ ทั้งนี้การใช้วัคซีนในภาวะเร่งด่วน จึงต้องคำนึงถึงผลที่จะได้คือ การยังยั้งการระบาด การควบคุมการระบาด และผลข้างเคียงของวัคซีน ซึ่งต้องทำทั้งสองส่วนควบคู่กันไป

รวมถึงการเก็บรักษาของวัคซีนก็จะนำมาพิจารณาในการนำเข้าด้วย เพราะแต่ละชนิดก็จะต้องใช้อุณหภูมิพิเศษ อีกทั้งยังพิจารณาเรื่องของเงื่อนเวลาการส่งมอบวัคซีนของแต่ละบริษัทที่จะตัดสินใจนำเข้าด้วย

ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ถ้าได้รับวัคซีนแล้ว ก็จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญ ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเข้ามาพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อเป็นแนวทางการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล โดยในช่วงครึ่งปีแรก วัคซีนจะมีค่อนข้างน้อย ซึ่งประเทศไทยในวัคซีนจำกัด เป้าหมายแรกคือลดอัตราการป่วยและตาย จึงกำหนดให้ฉีดกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต คือ คนมีโรคประจำตัว และกลุ่มผู้สูงอายุ60ปีขึ้นไป และบุคคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกกลุ่มคือ พื้นที่เสียง ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด นั่นก็คือ 5จังหวัด

ทั้งนี้การเตรียมการฉีดวัคซีนหน่วยบริการต่างๆ ก็เตรียมการพร้อมแล้ว เพราะสถานบริการต่างๆก็จะมีรายชื่อของบุคลากร และแม้จะฉีดวัคโซนแล้ว แต่ก็จะต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภค โดยกรมควบคุมโรค อย. จะติดตามเฝ้าระวังโรคไม่พึงประสงค์จากวัคซีน ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เตรียมการตั้งแต่การรับวัคซีน การกระจายวัคซีน การเตรียมการฉีด และการติดตามเฝ้าระวังแล้ว