เด็กไทยหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับคำพูดเปรียบเทียบทำนองว่า ‘ทำไมไม่เก่งเหมือนลูกบ้านนู้น’ คำว่าเก่งที่ถูกตีกรอบและใช้เกรดเฉลี่ยเป็นมาตรฐาน คำว่าเก่งที่ดูจากสถาบันและมหาวิทยาลัยที่สอบติด เพราะสังคมที่ทุกคนต้องพึ่งตัวเองย่อมไม่มีที่ว่างให้ผู้แพ้ เลยมีตัวชี้วัดไม่มากที่จะตัดสินให้เราเป็นผู้ชนะ
ถ้าเปรียบเด็กเป็นต้นไม้ ก็เป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่แตกต่างกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ต้นไม้ทุกประเภทจะงอกงามอย่างพร้อมเพรียงในกระถางเดียว สังคมไทยซึ่งเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงก็ไม่ต่างจากกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่เป็นฐานให้ต้นไม้นับล้านๆ ต้นเติบโต แต่กลับเป็นกระถางที่มีดินประเภทเดียว ต้นไม้ไหนอยู่รอดก็ชนะไป ส่วนต้นไหนอยู่ไม่ได้ก็ต้องเหี่ยวเฉาไปตามยถากรรม
ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครองคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มาพูดคุยกับรายการ Tomorrow เกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาการเข้าถึงการศึกษา ปัญหาความกดดัน และท้ายที่สุด เป็นที่มาของปรากฏการณ์โรคซึมเศร้าในเด็กเจนใหม่ ผ่านมุมมองหนังสือ หนังสือ เผด็จการความคู่ควร The Tyranny of Merit: What’s Become of the Common Good?
เราจะมาคุยเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างปัญหารัฐสวัสดิการ สังคมเหลื่อมล้ำ และความเจ็บช้ำของเด็กเจนใหม่ ผ่านประสบการณ์ และมุมมองในฐานะอาจารย์กัน
[รัฐสวัสดิการที่ไม่เพียงพอ อีกหนึ่งต้นเหตุความเหลื่อมล้ำ]
หากบอกว่าปัญหารัฐสวัสดิการไม่เพียงพอเป็นหนึ่งในต้นเหตุของปัญหาความเหลื่อมล้ำและค่านิยม ‘ใครดี-ใครได้’ คงไม่เกินจริง
อธิบายก่อนว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ เกิดขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่าง อุดความแตกต่างของฐานะทางสังคม ด้วยการให้ความช่วยเหลือเรื่องพื้นฐานอย่างการศึกษา การรักษาพยาบาล หรือเงินช่วยเหลือคนสูงอายุ-คนพิการ พูดง่ายๆ คือมันมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม
อ.ประจักษ์ยกตัวอย่างประเทศแถบสแกนดิเนเวียอย่างเช่น เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ซึ่งมักจะเป็นประเทศที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างของชาติที่มีรัฐสวัสดิการดี เพียงพอต่อความต้องการพื้นฐานของคน มันทำ ‘เงิน’ ไม่ใช้ตัวแปรสำคัญในการหาความสุขใส่ตัวมากเท่าประเทศที่ประชาชนต้องขวนขวายกันเอง
อ.ประจักษ์ย้ำว่า ‘เงินยังสร้างความสุขได้’ แต่ในประเทศที่กล่าวถึงไป เงินที่หามาได้ไม่ต้องเก็บสำรองไว้เป็นค่าเทอมลูก ค่ารักษาพยาบาล แล้วความสุขพื้นฐานอย่างห้องสมุด หรือสวนสาธารณะดีๆ ก็เป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไป เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความร่ำรวยจึงไม่สร้างความแตกต่างทางความสุขมากขนาดนั้น เพราะประชาชนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตแล้ว
แตกต่างจากสังคมไทยยังเจอปัญหาส่วนนี้อยู่ หากพ่อแม่อยากให้ลูกมีการศึกษาที่ดี ก็ต้องยอมจ่ายเงินแพงขึ้นมาหน่อย อยากได้รับบริการสุขภาพที่ดีและรวดเร็วก็ต้องมีเงินสำรอง จึงไม่แปลกที่ทำให้สังคมของเราปลูกฝังค่านิยม ‘รวย=ประสบความสำเร็จ’ เพราะเงินเป็นต้นกำเนิดความสุข ความสะดวกสบาย และเป็นตั๋วใบสำคัญที่จะทำให้เราอยู่รอดในสังคมได้
[ความเหลื่อมล้ำพรากโอกาสการแข่งขัน]
“ยิ่งรวยยิ่งมีโอกาสเก่งมากกว่า” คือความจริงที่ยากจะปฏิเสธ อ.ประจักษ์เล่าว่า ไม่ใช่แค่ที่ไทย แต่ถ้าไปดูมหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลกอย่าง Havard หรือ Yale จะพบว่าเด็ก 2 ใน 3 ที่สามารถเข้าไปเรียนในสถาบันเหล่านี้ได้เป็นกลุ่มคนที่รวยที่สุด 10% ของสังคม
ดังนั้นมายาคติที่ว่า ‘การศึกษาคือช่องทางเลื่อนชนชั้นทางสังคม’ อาจไม่เป็นจริงเสมอไป เพราะโอกาสที่นักเรียนสักคน จะเข้ามหาวิทยาลัยระดับต้นๆ ของประเทศ หรือของโลก ต้องผ่านสนามแข็งขันที่เข้มข้น คนที่มีพื้นฐานทางครอบครัว ทางการเงินที่ดีมาตั้งแต่ต้นย่อมได้เปรียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนคนที่ตกขบวนไปแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เด็กที่มีต้นทุนทางสังคมน้อยไม่มีสิทธิเข้ามาร่วมแข่งในลู่วิ่งด้วยซ้ำ เพราะลำพังแค่จะหาเลี้ยงชีพ จุนเจือครอบครัวก็ไม่มีแรงเหลือให้ฝัน หรือแม้แต่จะพัฒนาตัวเอง หรือต่อให้มีความฝันได้จริง ก็ยังยากที่จะมาแข่งในสนามที่คู่แข่งนำหน้าไปหลายช่วงตัว
อ.ประจักษ์เสริมข้อมูลนึงที่น่าสนใจไม่น้อยคือ กองทุนเสมอภาคเพื่อการศึกษาว่า ปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัวทำให้เด็กที่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาภาคบังคับ (ป.1-ม.3) หลุดออกจากระบบไปกว่า 4 แสนคน
และในช่วงที่มีการระบาดโควิด-19 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมายังพบว่า มีเด็กไทยเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาประมาณ 2.4 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเด็กที่สูญเสียโอกาสเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวยากจนที่สุด 40% อธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นคือครอบครัวที่มีรายได้ 400 บาท/เดือน
จึงไม่แปลกที่หนังสือจะสรุปข้อเท็จจริงหนึ่งไว้ว่า “ยิ่งในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำสูง เงินเป็นตัวกำหนดความสามารถ”
[แนวคิด ‘ใครดีใครได้’ กำลังทำร้ายเด็กยุคใหม่]
ไม่ใช่แค่ทำร้ายเด็กที่พ่ายแพ้ แต่เด็กที่ชนะเองก็ได้รับบาดแผลไปไม่น้อยจากแรงกดดันทางสังคมและครอบครัว การที่สังคมกำหนดว่าต้องประกอบ ‘อาชีพ’ ไหน ถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ ก็เหมือนมีลู่วิ่งเดียวให้เด็กต้องเดินตาม เด็กที่ทำได้ ก็ต้องทนอยู่กับสิ่งที่พวกเขาอาจจะไม่ได้ปรารถนามันมาตั้งแต่แรก แต่ต้องทนอยู่ไป เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนพ่ายแพ้ในสังคม
อ.ประจักษ์เล่าว่า หนึ่งในปัญหาหลักๆ คือเด็กยุคใหม่ต้องเจอคือเรื่องของสุขภาพจิต ที่สังเกตว่าช่วง 4-5 ปี ประเด็นนี้ถูกพูดถึงในสังคมมากจนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งส่วนหนึ่งนอกจากความคาดหวังจากคนรอบตัว ก็ถูกค่านิยมทางสังคมกดทับว่าต้องทำตัวยังไงถึงจะมีที่ยืนในสังคม
หากกลับไปดูประเทศพัฒนาหลายๆ ประเทศ ทุกคนไม่จำเป็นต้องจบปริญญา สามารถประกอบอาชีพตามความถนัดของตัวเอง อย่างอาชีพช่างต่างๆ ก็มีรายได้มากพอที่เลี้ยงชีพ และใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขเฉกเช่นอาชีพอื่นๆ
เมื่อเด็กมีอิสระที่จะคิด จะทำ จะเลือกทางเดินของตัวเอง โดยไม่มีใครคอยชี้ว่าสิ่งใดถูก หรือผิด ก็ทำให้ความเครียดในการใช้ชีวิตน้อยลง แต่ไม่ต้องกดดันตัวเองตลอดเวลา
อ.ประจักษ์ได้ทิ้งท้ายด้วยการสรุปเนื้อหาภายในหนังสือสั้นๆ คือ “ประเทศที่มีรัฐสวัสดิการที่ดี น่าอยู่กว่าประเทศทุนนิยมเสรี” ในสังคมทุนนิยมเสรีไม่โอบอุ้มผู้แพ้ มีผู้คนมากมายถูกทิ้งไว้ข้างหลัง รัฐไม่หยิบยื่นโอกาสและมือเข้าไปช่วย สุดท้ายคุณก็พ่ายแพ้ให้กับระบบ
ส่วนผู้ชนะก็ไม่มีเส้นชัย ต้องตะเกียงตะกายต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้น ใช้ชีวิตอยู่กับความคาดหวังของสังคม และความกดดันของตัวเอง เมื่อรวยสิบล้านก็หาทางไปสู่ร้อยล้าน นี่ไม่ใช่สังคมที่น่าอยู่เลย