Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ยังคงติดตามอุบัติเหตุเบนท์ลีย์ขับรถชนบนทางด่วน เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา  ซึ่งผลตรวจเลือดพบว่าปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ขณะที่หลายๆ คนตั้งข้อสงสัยเรื่อง ไทม์ไลน์ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดูแลงานจราจร ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ระบุว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ 00.38 น.  และตำรวจส่งตัว เจ้าของรถเบนท์ลีย์ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ เวลาประมาณ 01.00-02.00 น.

ส่วนการแจ้งข้อหา มีการแจ้งข้อหาขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายไปแล้วตั้งแต่คืนวันเกิดเหตุ ส่วนข้อหาเมาแล้วขับและความผิดเกี่ยวกับการใช้ความเร็วอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งเวลาในการส่งตัวไปตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์ขัดแย้งกับข้อมูลของกู้ภัยซึ่งอยู่ในเหตุการณ์  

โดยนายอานนท์ ศรีสุวรรณากุล เจ้าหน้าที่อาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยหน่วยฐานพระยาตาก บอกว่าหลังเกิดเหตุ ทุกคนยังอยู่ในที่เกิดเหตุ รอเจ้าหน้าที่การทางพิเศษนำรถลากมาลากรถที่เกิดเหตุทั้ง 3 คัน ลงมาจากทางด่วน ขณะที่พวกตนเองก็ช่วยกันทำแผลให้คนเจ็บ จากนั้นลงมาจากทางด่วนประมาณ 01.00 กว่าๆ 

ตอนนั้นมีคนเห็นคนขับเบนท์ลีย์ เรียกรถแท็กซี่ เพื่อจะหนี แต่มีอาสาที่เห็นเหตุการณ์ได้ขับรถตามรถแท็กซี่ไปจากนั้นก็พากันไปที่ สน.ทางด่วน 1 ซึ่งตนเองอยู่ที่ สน.ทางด่วนถึงเวลาประมาณ 02.00 น. แล้วต้องกลับก่อนเพราะมีงานช่วงเช้า แต่ตอนนั้นตำรวจยังไม่ได้ส่งตัวคนขับเบนท์ลีย์ ไปตรวจเลือด 

“ตอนที่ยังอยู่ที่สถานีตำรวจ พวกผมยังได้สอบถามตำรวจว่าเหตุใดจึงไม่ให้เป่าแอลกอฮอล์ โดยคำตอบที่ได้รับคือ ไม่มีเครื่องเป่า จึงตั้งคำถามกลับไปว่า อยู่ที่สถานีตำรวจไม่มีเครื่องเป่า แต่ทำไมตอนที่ไปตั้งด่านจึงมีเครื่องเป่าหลายเครื่อง ซึ่งตำรวจก็ให้คำตอบไม่ได้และขอให้พวกผมใจเย็นๆ ผมเลยบอกว่าพวกผมใจเย็นที่สุดแล้ว ถ้าเขายอมคุย เขายอมเป่า พวกผมก็ไม่มีปัญหา แต่นี่พยายามบ่ายเบี่ยง”  นายอานนท์ กล่าว 

 ด้าน น.ส.ศศิกมล พุ่มนางแย้ม อาสาสมัครกู้ภัย ที่ไปช่วยผู้บาดเจ็บจากที่เกิดเหตุและอยู่จนถึงส่งตัวคนขับเบนท์ลีย์ ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นอีกเสียงที่ยืนยันว่าตอนที่อยู่ที่สถานีตำรวจ ตำรวจบอกว่าไม่มีเครื่องเป่าแอลกอฮอล์  

น.ส.ศศิกมล บอกว่าตอนนั้นตนอยู่ที่สถานีตำรวจจนถึงเวลาประมาณ 04.00 น. กว่าๆ ตำรวจจึงพาคนขับเบนท์ลีย์ ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 04.35 น. ก่อนที่เข้าไปในโรงพยาบาล และเมื่อเข้าไปถึงห้องที่จะตรวจเลือด เวลาประมาณ  04.48 น. แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่สามารถเข้าไปได้ คาดว่าน่าจะมีการตรวจเลือดช่วงเวลาประมาณใกล้เคียง 05.00 น. 

สำหรับระยะเวลาการตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ล่าช้านั้น อาจมีผลต่อปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมยังตั้งคำถาม

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า มีการศึกษาไว้ว่า ทุกๆ 1 ชั่วโมง แอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย เฉลี่ย 15-20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์/ชั่วโมง คือผ่านไปนานเท่าไหร่ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดก็จะลดลงเรื่อยๆ เช่น หากมีค่าแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ผ่านไป 4 ชม. แอลกอฮอล์ในเลือดจะถูกขับ ประมาณ 60-80 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเหลือประมาณ 20-40 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

ขณะที่ความคืบหน้าด้านคดีล่าสุด วานนี้ (11 ม.ค. 66 ) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. ออกใบแถลงข่าว ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ขับรถเบนท์ลีย์ ในข้อหา ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส, ได้รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถในขณะเมาสุรา (ฝ่าฝืนไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ)

และนำตัวผู้ต้องหาไปทำการฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งศาลได้พิจารณารับฝากขังตามคำร้อง ต่อมาผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาเเล้วให้ประกันตีราคา 1 เเสนบาท 

ด้านนายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ เจ้าของเบนท์ลีย์ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเวิร์คพอยท์เป็นครั้งแรกหลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น บอกว่าหลังทราบผลตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดว่าไม่เกินกฎหมายกำหนดก็รู้สึกสบายใจขึ้น ส่วนขวดไวน์ที่พบในรถนั้น เป็นขวดเก่าที่ดื่มหมดไปนานแล้ว 

ส่วนเรื่องที่ไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น มาจากที่ตนได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอกจากแรงอัดกระแทก และไม่ได้ขึ้นแท็กซี่เพื่อจงใจหนีแน่นอน เนื่องจากต้องรีบพาแฟนสาวส่งที่ รพ.เท่านั้น

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า