Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

 

ศบค. กำหนด 7 วันอันตรายโควิด-19 ช่วงสงกรานต์ ห้ามเด็ดขาด งดเล่นน้ำ ฉีดพ่นน้ำทุกกรณีทั้งในบ้านและนอกบ้าน ชี้น้ำเป็นพาหะเสี่ยงแพร่เชื้อ ขณะที่วันนี้ ไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19 เพิ่ม 33 ราย รวมสะสม 2,551 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมเสียชีวิต 38 ราย

วันที่ 12 เม.ย. 2563 เมื่อเวลา 11.30 น. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ในไทย วันนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 33 ราย ยอดรวมสะสม 2,551 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย (รวมเสียชีวิต 38 ราย) รักษาหายรวม 1,218 ราย

สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทั้ง 3 รายนั้น มีรายละเอียดดังนี้

รายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 74 ปี มีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มีประวัติดื่มสุราและ

สูบบุหรี่ มีประวัติเสี่ยง ไปในสถานที่ชุมชน มีการรวมกลุ่มกัน เข้ารับรักษาครั้งแรกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยอาการ ไข้ ปวดเสียดท้อง ถ่ายเป็นอุจจาระเป็นสีดำ ไม่คลื่นไส้ ไม่อาเจียน ผลการตรวจพบเชื้อโควิด-19 จึงส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลอีกแห่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช เสียชีวิตวันที่ 11 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 36)

 

รายที่ 2 เป็นหญิงไทย เชื้อชาติไทย อายุ 65 ปี มีโรคประจำตัว คือ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และภาวะอ้วน มีประวัติเสี่ยง เดินทางไปเยี่ยมญาติ และมีญาติมาเยี่ยมขณะรักษาพยาบาล เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพร ด้วยภาวะ เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) ต่อมาป่วยด้วยอาการไข้ ไอ เจ็บคอ เหนื่อยมาก อ่อนเพลีย อาการไม่ดีขึ้น ปวดกล้ามเนื้อ หายใจลำบาก เสียชีวิตวันที่ 11 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 37)

 

รายที่ 3 เป็นชายไทย อายุ 44 ปี จากสถาบันบำราศนราดูร รับส่งต่อจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมีอาการหนักแต่แรกรับ ทำการรักษาโดยการใช้ยาทุกตัว ผู้ป่วยมีอวัยวะล้มเหลวหลายส่วน เสียชีวิตวันที่ 12 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 38)

ผู้ติดเชื้อสะสม กระจายตัวใน 68 จังหวัด สูงสุดที่กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต

โฆษก ศบค. ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมจนถึงขณะนี้ประเทศไทยมี 2,551 ราย กระจายใน 68 จังหวัด สูงสุดที่กรุงเทพฯ 1,294 ราย ตามด้วย จ.ภูเก็ต 176 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 106 ราย ยะละ 82 ราย เป็นต้น โดยภูเก็ตยังคงมีอัตราส่วนการป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด

ซึ่งช่วงอายุ 20-39 ปี ยังเป็นกลุ่มหลักที่พบผู้ป่วยเพิ่ม โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม 7 ราย ทั้งจากการทำงานใกล้ชิดผู้ป่วยและชีวิตประจำวัน

 

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยืนยันวันนี้มีทั้งหมด 33 ราย แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้

กลุ่ม 1 ผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้า 17  ราย

– สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 15 ราย กว่า 7 รายอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้

-สถานบันเทิง 2 ราย

 

กลุ่ม 2 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10   ราย

-คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 1  ราย ซึ่งมาจากอังกฤษ

-ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 1  ราย

-บุคลากรทางการแพทย์  7  ราย ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯกว่า 5 ราย

-อาชีพเสี่ยง  เช่น ทำงานในที่แออัด ใกล้ชิดกับคนต่างชาติ 1    ราย

 

กลุ่ม 3 ยืนยันการพบเชื้อแล้ว แต่รอสอบสวนโรค 4  ราย

ทั้งมีการจำแนกกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าสู่ State Quarantine อีก 2 ราย ซึ่งอยู่ใน จ.นราธิวาส ที่มีการเดินทางมาจากอินโดนีเซีย จากกลุ่มก้อนนี้มีผู้ป่วยสะสมแล้วกว่า 49 คนแล้ว

 

ย้ำ “การ์ดห้ามตก” ไทยเริ่มลด ต่างประเทศยังพุ่งสูง

 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในไทยจะเริ่มลดลง แต่สถานการณ์ยังน่ากังวล เพราะขณะนี้สถานการณ์ต่างประเทศยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่มียอดสะสมผู้ป่วยสูงสุด และมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าประเทศอิตาลีไปแล้ว ซึ่งทั่วโลกนั้นยอดผู้ติดเชื้อขณะนี้สูงถึง 1,780,314 ราย เสียชีวิต 108,827 ราย

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่จะส่งผลต่อการควบคุมโรคของไทย คือ จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นของประเทศในเอเชีย ทั้งมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ และอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลให้ไทยต้องเข้มงวดกับคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศตามมาตรการ State Quarantine โดยนพ.ทวีศิลป์ย้ำว่า “การ์ดห้ามตก” กับการป้องกันของไทยแม้ตัวเลขจะลดลง แต่ยังคงต้องยืนระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลการมาตรการของรัฐ

 

“แต่ก็ยังไม่อยากให้การ์ดตก เพราะแนวโน้มสถานการณ์ระดับโลก ยังน่าเป็นห่วง ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อกว่า 1,780,314 คน เสียชีวิต 108,827คน โดยสหรัฐอเมริกา ยังเป็นประเทศอันดับต้นๆมีผู้ป่วยกว่า 532,875 คน”  นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

 

สาเหตุที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดน้อยลง เมื่อลองเทียบสถิติจะพบว่า ตัวเลขจาก 3 หลักลดเหลือ 2 หลัก เริ่มมาหลังการประกาศเคอร์ฟิว แต่มีบางวันที่มีตัวเลขเป็นหลักร้อย เพราะคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ขณะที่กลุ่มก้อนคนอยู่ในสนามมวยลดลงต่อเนื่อง ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นศูนย์แล้ว เพราะรัฐควบคุมได้ดี และประชาชนให้ความร่วมมือทั้งการเดินทาง การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีทั้ง 73 จังหวัดแล้ว รวมทั้งกรุงเทพมหานคร

ศบค. กำหนด 7 วันอันตรายของการระบาดโควิด-19 ช่วงสงกรานต์ งดเล่นน้ำทั้งในบ้านและนอกบ้าน ห่วงน้ำเป็นพาหะเสี่ยงแพร่เชื้อ

 

นอกจากนี้ นพ.ทวีศิลป์ ได้ตอบคำถามจากสื่อมวลชน กรณีวันสงกรานต์ วันพรุ่งนี้ (13 เม.ย.) อะไรที่ทำได้หรือทำได้บ้าง จากการที่ได้สอบถามจากโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอย้ำว่า สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดคือการ งดเล่นน้ำ รดน้ำ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน งดการจัดงานในทุกระดับ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ เพราะสารคัดหลั่งที่จะปะปนไปกับละอองฝอยของน้ำมีโอกาสแพร่เชื้อโควิด-19 ไปยังคนใกล้ชิด หากมีการไอจามไปไกลเกิน 2 เมตรกระจายผ่านละอองน้ำที่เป็นตัวพาหะได้

“เจตนาการของกฎหมายไม่ได้ต้องการจับท่านหรอกครับ แต่อยากจะบอกว่าการที่ท่านเล่นน้ำกัน การฉีดน้ำมันอาจจะนำมาพาเอาเชื้อโรคจากคนนึงไปอีกคน…สงกรานต์ช่วงนี้ 7 วันอันตราย ทางหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขขีดเส้นใต้ไว้เหมือนกันครับ เป็น 7 วันอันตรายของการระบาดโควิด-19” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

 

นอกจากนี้การรดน้ำขอพรผู้สูงอายุ ก็ไม่ควรทำยังคงเว้นระยะห่าง 2 เมตร ส่วนการสรงน้ำพระ ทำได้แต่แนะนำว่าทีละคน และใช้แก้ว ขันส่วนตัว

 

“ท่านต้องห่างจากผู้สูงอายุอย่างน้อย 2 เมตร ทุกวัน ในช่วงเวลาขอสงกรานต์ 7 วันอันตราย ท่านจะมีความกตัญญู รู้คุณต่อผู้ที่เป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ดีที่สุดคือกราบในระยะ 2 เมตร ไหว้ในระยะ 2 เมตร ไม่มีการรดน้ำอวยพรเด็ดขาด เพราะว่าท่านเป็นพาหะได้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

 

สำหรับมาตรการเคอร์ฟิวนั้น วันนี้ผู้ฝ่าฝืนออกนอกเคหะสถานลดลง มีผู้กระทำผิด 926 ราย  ลดลงจากเมื่อวานนี้กว่า 139 ราย รวมถึงการมั่วสุม 58 ราย ซึ่งลดลง 51 ราย นพ.ทวีศิลป์ อธิบายว่า ผู้ที่ออกนอกเคหะสถานนั้นมักพบฐานความผิดเรื่องการดื่มสุรามากที่สุด ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดมีมาตรการงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว แต่ในบางจังหวัดอยู่ระหว่างการรอประกาศ

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า