Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 กำลังเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก แต่กลับพบว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เผชิญปัญหาดังกล่าว หรือเกิดขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขต่างแสดงความสงสัย และเชื่อว่าเชื้อโรคร้ายกำลังแพร่ระบาดอย่างเงียบๆ ในภูมิภาคแห่งนี้

 

ปัจจุบัน (3 มี.ค.) จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 9 หมื่นคน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3,117 คน เชื้อโรคนี้ยังแพร่ไปไกลถึงประเทศบราซิล และแม้แต่ไอซ์แลนด์

 

 

อย่างไรก็ตาม พบว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเมียนมา และลาว ซึ่งมีพรมแดนติดกับจีน รวมถึง บรูไน ติมอร์ตะวันออก และอินโดนีเซีย ซึ่งเคยมีเที่ยวบินตรงจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด กลับไม่พบผู้ติดเชื้อแม้แต่รายเดียว ส่วนอีก 5 ประเทศในภูมิภาค ที่ล้วนแต่ได้รับประโยชน์จากจีนในด้านต่างๆ เช่น เงินช่วยเหลือ การท่องเที่ยว และการลงทุน กลับพบผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันไป

 

นายริชาร์ด โคเกอร์ ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านสาธารณสุข จากวิทยาลัยสุขภาพศาสตร์และเวชศาสตร์เขตร้อนลอนดอน ซึ่งทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การเคลื่อนที่ของการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้คล้ายกับไข้หวัด และยากที่จะหยุดยั้ง

 

ในช่วงแรก รัฐบาลของหลายประเทศไม่ให้ความสำคัญกับความรุนแรงของการระบาด และกล่าวปกป้องชาติมหาอำนาจที่ตนยังคงต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง แทนที่จะประกาศข้อควรระวังด้านสาธารณสุขหรือการป้องกันที่เข้มงวด แต่พวกเขากลับเสนอทางเลือกที่ต่างออกไป เช่น การบริโภคหัวหอมหรือแอลกอฮอล์ หรือแนะนำให้ทำงานน้อยลง

 

ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ยืนยันว่าเขาจะไม่ระงับเที่ยวบินจากเมือฮู่ฮั่น และปฏิเสธที่จะอพยพพลเมืองชาวกัมพูชาที่ติดอยู่ในอู่ฮั่น ขณะที่รัฐบาลจีนตำหนิสหรัฐฯ ที่ห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศว่าเป็น “การสร้างตัวอย่างที่ไม่ดี”

 

การที่นายฮุนเซนเพิกเฉยต่อความเสี่ยงของไวรัสชนิดนี้ ได้สร้างความหวั่นวิตกให้เกิดขึ้นในกัมพูชา ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง ท่ามกลางทรัพยากรด้านสาธารณสุขที่มีอยู่อย่างจำกัด ว่าอาจทำให้กัมพูชาเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโรค

 

เมื่อต้นเดือนที่แล้ว ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยจากวิทยาลัยสาธาณสุข ทีเอช ชาน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สรุปได้ว่า เป็นไปไม่ได้ในทางสถิติที่กัมพูชาและประเทศไทยจะไม่มีกรณีผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก หรือกว่า 266 ล้านคน จะไม่มีการพบผู้ติดเชื้อแม้แต่รายเดียว เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ว่า มีเที่ยวบินตรงจากอู่ฮั่นมายังที่นี่ และเชื่อว่าอินโดนีเซียน่าจะมีผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 5 คน อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด กล่าวยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อแล้ว 2 รายแรกของประเทศ ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองเดป็อก ในจังหวัดชวาตะวันตก ปัจจุบันทั้งสองกำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงจาการ์ต้า

 

ทั้งนี้ ในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเยือนอินโดนีเซียปีละกว่า 2 ล้านคน ส่วนใหญ่ท่องเที่ยวที่เกาะบาหลี จากข้อมูลของสถานกงสุลจีนพบว่า ในช่วงที่มีการประกาศยกเลิกเที่ยวบินตรงเมื่อวันที่ 5 ก.พ. หลังข่าวการแพร่ระบาด มีนักท่องเที่ยวจีนอยู่บนเกาะบาหลีราว 5,000 คน และราว 200 คนมาจากเมืองอู่ฮั่น ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกกักตัวและไม่มีการตรวจร่างกาย

 

ภาพ: AFP PHOTO / SOEKARNO-HATTA INTERNATIONAL AIRPORT HEALTH CENTRE

 

แพทย์หญิง ชีลา ปุตรี ซุนดาวา แพทย์ชาวอินโดนีเซียกล่าวว่า เชื่อว่ามีผู้ติดเชื้ออย่างแน่นอน แค่เรายังหาไม่พบ เธอบอกว่า ระบบการตรวจสอบของที่นี่หละหลวมเกินไป เพราะแพทย์ในอินโดนีเซียไม่ได้ทำการทดสอบการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเพื่อหาเชื้อไวรัสในผู้ป่วยทุกราย แต่ละเลือกตรวจโดยพิจารณาจากประวัติการเดินทางหรือผู้ที่มีอาการชัดเจนเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศพบว่าผู้ติดเชื้อหลายคนไม่เคยมีประวัติการเดินทางไปจีน ดังนั้น การตรวจไม่พบผู้ติดเชื้อแม้แต่รายเดียว อาจนำไปสู่การติดเชื้ออีกหลายกรณีที่ไม่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับประวัติการเดินทางได้ ซึ่งหมายความว่าอาจมีผู้ป่วยจำนวนมากที่อาจไม่เคยผ่านการตรวจ

 

ขณะที่นายมาร์ก อิปสวิช ผู้อำนวยการศูนย์พลวัตรโรคติดต่อ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คาดว่า แม้แต่ในประเทศที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ก็อาจตรวจไม่พบผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศราวครึ่งหนึ่ง เขายังคาดการณ์ว่า ภาวะการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ และราวร้อยละ 40-70 ของประชากรโลก อาจติดเชื้อดังกล่าว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีอาการป่วย

 

ในอินโดนีเซีย แม้จะมีหลักฐานในทางตรงกันข้าม แต่นายโมฮัมหมัด มาห์ฟุด เอ็มดี รัฐมนตรีประสานงานด้านกฎหมาย การเมือง และความมั่นคงของอินโดนีเซีย กล่าวยืนยันว่า โคโรนาไวรัสไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศ ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยืนยันว่า ได้ปฏิบัติตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก ด้วยการใช้ระบบที่เน้นไปที่การตรวจวัดอุณหภูมิ ในพื้นที่ขาเข้าของสนามบิน และการให้ผู้ป่วยออกมารายงานตัว แม้ผลการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า วิธีนี้ไม่ได้ผลมากนัก และมองว่า การตรวจวัดอุณหภูมิที่สนามบิน เป็นเพียงมาตรการทางการเมือง มากกว่าจะเป็นมาตรการที่ใช้ได้ผลจริง เพราะมันช่วยให้ผู้คนลดความตื่นตระหนกลง และแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลได้ทำ “บางอย่าง” แล้ว แต่ในแง่สาธารณสุขแล้ว วิธีนี้ไม่ได้ผลมากนัก

 

ทั้งนี้ มีรายงานว่าพบนักท่องเที่ยว 2 คน ที่เคยเดินทางผ่านอินโดนีเซีย มีผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นบวกในภายหลัง นอกจากนั้น ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางจากเมืองอู่ฮั่นมายังเกาะบาหลี ตรวจพบเชื้อไวรัสเมื่อวันที่ 4 ก.พ. หรือหลังจากที่เขาเดินทางกลับแล้ว และพบว่าชายคนหนึ่งที่เดินทางจากกรุงโตเกียวมายังอินโดนีเซีย ต้องเข้ารักษาตัวหลังพบว่าติดเชื้อไวรัส หลังจากเดินทางกลับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 ก.พ.

 

รัฐบาลอินโดนีเซียยังระบุว่า ชาวอินโดนีเซีย 243 คน ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ไม่มีใครที่แสดงสัญญาณของเชื้อไวรัสในระหว่างการถูกกักตัวที่โรงพยาบาลทหารบนเกาะแห่งหนึ่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว

 

ด้านนายเทราวาน อากุส ปุตรันโต รัฐมนตรีสาธารณสุข เคยกล่าวว่า สาเหตุที่อินโดนีเซียไม่มีผู้ป่วยโควิด-19 เพราะการสวดภาวนาทำให้ไวรัสหายไป และเตือนประชาชนว่าอย่างวิตกกังวลจนเกินเหตุ

 

ส่วนในเมียนมา จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสแม้แต่รายเดียว แม้จะมีพรมแดนติดกับจีนมากกว่า 2,000 กิโลเมตร ซึ่งมีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างสองประเทศอยู่เสมอก็ตาม

 

แม้ชุดตรวจเชื้อไวรัสที่ผ่านการบริจาคจะเดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 20 ก.พ. แต่ก็ไม่มีโรงพยาบาลใดสามารถยืนยันการพบผู้ติดเชื้อได้ ท่ามกลางเสรีภาพทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่อย่างจำกัด และรัฐบาลที่ยังคงเพิกเฉยต่อการระบาด แม้แต่โฆษกรัฐบาลเองกล่าวว่า พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของรัฐบาลเพื่อรับมือการระบาด ขณะที่มีรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขเมียนมา ได้เสนอให้แก้ไขกฎหมายเพื่อลงโทษเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขรายใดก็ตาม ที่อาจพูดคุยกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับเรื่องไวรัส โดยมีโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับเป็นเงินราว 2,000 บาท

 

 

นอกเหนือจากสิงคโปร์ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมว่าสามารถตอบสนองต่อการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว กลับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับงบประมาณด้านสาธารณสุขต่อประชากรต่ำกว่ามาตรฐานระหว่างประเทศ เพราะแม้แต่ประเทศใหญ่อย่างอินโดนีเซีย ก็เผชิญปัญหาด้านทรัพยากรด้านสาธารณสุข และการขาดแคลนสถานพยาบาลและบุคลากร

 

ขณะที่สำนักงานบริการสุขภาพสหราชอาณาจักร หรือ NHS ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ที่เดินทางมาจากกัมพูชา เมียนมา และลาว ที่มีอาการ แม้จะไม่รุนแรงมาก ให้โทรไปยังสายด่วน NHS ด้าน “เวอริสก์ เมเปิลครอฟท์” บริษัทด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยงระดับโลก ได้ออกคำเตือน “ความเสี่ยงขั้นรุนแรง” ในอินโดนีเซียและกัมพูชา โดยพิจารณาจากความสามารถในการตอบสนองต่อการระบาด

 

นอกจากนั้น แม้หลายฝ่ายจะแสดงความกังวลต่อการเตรียมพร้อมและปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค แต่กลับพบว่าหลายประเทศได้บริจาคอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แว่นตา หน้ากากอนามัย และหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ ให้แก่จีน โดยลาว ได้บริจาคเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ให้แก่จีน มูลค่าราว 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ และเงินอีกราว 4 แสนดอลลาร์ หลังมีแคมเปญการระดมเงินในประเทศ

 

การ “ยอมศิโราบทางการเมือง” ในลักษณะดังกล่าว อาจก่อให้เกิดผลมากมาย และวิธีการที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ใช้ในการรับมือกับโควิด-19 รวมถึงสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก อาจก่อให้เกิดการรับรู้ไปทั่วโลก นอกจากนั้น การเดินทางข้ามพรมแดน การย้ายถิ่น และการท่องเที่ยว ยังทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่อื่นๆ ของโลกได้มากขึ้น

 

และในขณะที่ประเทศต่างๆ กำลังรับมือ หรือเตรียมความพร้อมสำหรับการระบาด ความเป็นไปได้ของกรณีการระบาดที่ไม่สามารถตรวจพบได้ที่กระจายไปทั่วทั้งภูมิภาค ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่า ไวรัสไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งอีกต่อไปแล้ว

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า