พบหนุ่มลำปางฆ่าตัวตายในรถ คาดกลัวความผิด หลังก่อคดีฆ่าเมีย

ชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว พบศพหนุ่มใหญ่ก่อเหตุฆ่าภรรยาที่ลำปาง จบชีวิตตัวเองภายในรถ ยังไม่ทราบสาเหตุการตาย

วันที่ 13 ก.ค. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายนิรันด์ อายุ 51 ปี หัวหน้าเทศบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ก่อเหตุฆ่านางสาวรุ่งทิวา อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นภรรยา เสียชีวิต ภายในตึกแถวแห่งหนึ่ง พื้นที่บ้านทุ่งงามพัฒนา หมู่ 11 ต.ทุ่งงาม อ.เสริมงาม จ.ลำปาง สภาพตัวซีดแข็ง บริเวณลำคอและตามร่างกายมีรอยช้ำ โดยมีลูกสาวของผู้เสียชีวิตวัย 7 ขวบ ซึ่งนอนอยู่ด้วยกันทั้งคืน มาเรียกให้เพื่อนบ้านไปดูคิดว่าแม่หลับไม่ตื่น

โดยที่เกิดเหตุยังพบจดหมาย ของผู้ก่อเหตุ เขียนแสดงความต้องการายกทรัพย์สินให้ลูก และมีการลงท้ายว่า ที่ลงมือทำไปเพราะสาเหตุจากบันดาลโทสะ ขณะทำนั้นขาดสติเพราะมึนเมาและตกลงกันไม่ได้ จึงได้ก่อเหตุครั้งนี้ขึ้น และขอชดใช้กรรมในครั้งนี้ด้วยชีวิต นอกจากนี้ที่ราวบันไดชั้น 2 ยังพบเชือกไนลอนสีเขียวผูกเป็นปมและบ่วงทิ้งไว้ คาดว่าสามีผู้ตายอาจจะใช้หมอนกดปิดหน้าภรรยาจนเสียชีวิต และคิดจะผูกคอตายตาม จึงเขียนจดหมายลาตายไว้ ก่อนหลบหนีไปพร้อมรถยนต์ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา

ล่าสุด วานนี้(12 ก.ค. 62) เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองลำพูนได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีพบคนนอนเสียชีวิตภายในรถยนต์เก๋งสีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดอยู่บริเวณถนนสายลำพูน–ดอยติ หมู่ 4 ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ก่อนเข้าตัวเมืองไปประมาณ  1 กิโลเมตร โดยมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งออกมาจากรถ  หลังได้รับแจ้งจึงรีบรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมทั้งประสานไปยังนิติเวชโรงพยาบาลลำพูน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดลำพูนและหน่วยกู้ชีพ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรุเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่โดยไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนทั้งด้านหน้ารถและด้านหลังจอดชิดข้างทาง ประตูถูกล็อคจากด้านในทั้ง 4 ประตูส่องไปด้านในรถพบศพชายนอนตายที่เบาะคนขับ

จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงทำการไขกุญแจรถออกมาพบว่าชายคนดังกล่าวคือนายนิรันดร์  ผู้ต้องหาที่หนีคดีฆ่าภรรยาตนเองมาจากอำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง แล้วได้หลบหนี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการติดตามและกดดันอย่างหนักจนล่าสุดมาพบเป็นศพนอนเสียชีวิตในรถยนต์เก๋ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่คาดว่าหน้าจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด แต่จะด้วยวิธีการใดนั้นในตอนนี้ยังไม่ทราบซึ่งต้องรอผลจากการชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุตายที่แน่ชัดอีกครั้งที่แผนกนิติเวชโรงพยาบาลลำพูนต่อไป