SHARE

คัดลอกแล้ว

ข่าวการหายสาบสูญของเด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่ชื่อแมดเดอลีน แม็คแคนน์ เป็นข่าวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในรอบ 30 ปีของประเทศอังกฤษ เป็นรองแค่ข่าวเจ้าหญิงไดอาน่าเสียชีวิตเท่านั้น นี่เป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนทั่วทั้งทวีปยุโรป กับคดีเป็นมีความพิศวงอย่างยิ่ง ว่าเธอหายไปไหน และหายไปได้อย่างไร

สิ่งที่เหลือเชื่อคือตำรวจทั้งประเทศพลิกแผ่นดินหา และสื่อมวลชนก็ประโคมข่าวอย่างหนักทุกวัน แต่กลับไม่มีใครเจอเธอแม้แต่ร่องรอย อย่างไรก็ตาม ในวาระครบ 13 ปีของเหตุการณ์ ตำรวจพบเบาะแสใหม่ ที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายของคดีปริศนา



workpoint TODAY จะสรุปเรื่องราวทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้ต้องสงสัย และหลักฐานล่าสุดที่มีคืออะไร ทั้งหมดสรุปจบเข้าใจใน 26 ข้อ

1) เจอร์รี่ แม็คคานน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจชาวสกอตแลนด์ พบรักกับ เคท ฮีลี่ แพทย์เวชปฏิบัติ (GP) ชาวอังกฤษ หลังจากคบกันได้ 5 ปี ทั้งคู่แต่งงานกัน แล้วมาตั้งรกรากที่เมืองเลสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ แต่งกันไปได้ระยะหนึ่ง ในปี 2003 พวกเขามีลูกสาวคนแรกชื่อ แมดเดอลีน ชื่อเล่นแมดดี้ จากนั้นในปี 2005 มีลูกแฝดชาย-หญิง ชื่อ ฌอน กับ เอมิลี่

2) ครอบครัวแม็คคานน์ จึงมีทั้งหมด 5 คน คือพ่อ แม่ ลูกสาวคนโต และ น้องแฝด ทั้ง 5 คนใช้ชีวิตอย่างปกติสุขดี ด้วยความที่พ่อแม่เป็นแพทย์ทั้งคู่ จึงไม่มีปัญหาเรื่องรายได้แต่อย่างใด ฐานะครอบครัวแม็คคานน์มั่นคงดี


3) 28 เมษายน 2007 ครอบครัวแม็คคานน์เดินทางไปฮอลิเดย์ที่หมู่บ้านตากอากาศในประเทศโปรตุเกส ชื่อปราย่า ดา ลุซ พร้อมกับเพื่อนๆที่เป็นแพทย์กลุ่มหนึ่ง นี่เป็นทริปขนาดใหญ่ มีผู้ใหญ่ 9 คน เด็กๆ 8 คน แต่ละครอบครัวก็เอาลูกของตัวเองมาเที่ยวกัน โดยทั้งหมดนอนที่โรงแรมโอเชี่ยนคลับ ซึ่งมีห้องพักอยู่ติดๆกัน โดยครอบครัวแม็คคานน์ อยู่ในห้อง 5A เป็นห้องที่อยู่ใกล้กับถนนมากที่สุด
4) ทริปผ่านไป 6 วัน เหตุการณ์ยังปกติดี เข้าสู่วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม ในช่วงเย็นคุณแม่เคท ก็ยังถ่ายรูปแมดดี้ที่สระน้ำ ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเลย ก่อนที่เวลา 19.00 น. จะพาลูกๆ ทั้ง 3 คนเข้านอน จากนั้นเวลา 20.30 น. เมื่อเห็นเด็กๆทั้ง 3 คน หลับแล้ว พ่อแม่จึงเดินออกจากห้องมาทานอาหารที่ร้านทาปาส ที่อยู่ใกล้กับห้องพัก ระยะแค่ 55 เมตร แค่สระว่ายน้ำกั้นเท่านั้น โดยผู้ใหญ่ทั้ง 9 คน มานั่งทานอาหารด้วยกัน และตกลงกันว่า ทุกๆครึ่งชั่วโมง จะมีผู้ใหญ่ 1 คน เดินไปเช็กความเรียบร้อยของลูกๆ ซึ่ง 5 คืนที่ผ่านมา พวกเขาก็ทำกันแบบนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างปกติดี5) 21.05 คุณพ่อเจอร์รี่เดินไปเช็กรอบแรก เด็กทุกคนนอนหลับปกติดี จากนั้นเดินกลับไปที่ร้านอาหาร ก่อนที่เวลา 21.30 แม่ของแมดดี้จะเดินไปเช็กบ้าง แต่แมทธิว โอลด์ฟิลด์ คนในกลุ่มอีกรายบอกว่าจะไปดูให้เอง ซึ่งแมทธิวเช็กลูกของตัวเองก็ไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นเดินลงมาที่ห้อง 5A เห็นห้องเงียบๆ ก็เข้าใจว่าเด็กๆคงหลับกันอยู่ จึงไม่ได้เปิดประตูเข้าไปดูในห้องว่าเด็กๆยังอยู่ดีหรือไม่6) 22.00 แม่ของแมดดี้ เดินไปเช็กที่ห้อง 5A คราวนี้เธอเห็นประตูเปิดอยู่ ซึ่งจึงเดินเข้าไปในห้อง ปรากฏว่า แมดดี้ไม่อยู่ในห้องแล้ว หน้าต่างเปิดกว้างอยู่ เธอตกใจกรีดร้อง วิ่งกลับมาที่ร้านอาหารแล้วตะโกนว่า “แมดเดอลีนหายไป มีใครเอาเธอไป!” จากนั้นทุกคนจึงรีบไปแจ้งรีเซ็ปชั่นให้โทรหาตำรวจทันที ขณะที่บรรดาผู้ใหญ่และพนักงานรีสอร์ทก็รีบออกค้นหารอบๆบริเวณ บางทีเด็กอาจจะเดินออกไปใกล้ๆเองก็ได้ เพราะแมดดี้ก็จะ 4 ขวบแล้ว เธอโตประมาณหนึ่งแล้ว สามารถเดินหรือวิ่งได้

7) 23.10 ตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม ตำรวจที่โปรตุเกสนิ่งนอนใจเกินไป เนื่องจากไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ พวกเขาจึงพลาด “Golden Hours” หรือช่วงเวลาล้ำค่าในการจับกุมคนร้ายไป โดยทฤษฎีเชื่อว่า เมื่อพบว่าเด็กหาย ถ้าค้นหาอย่างจริงจังใน 2 ชั่วโมงแรก จะมีโอกาสมากที่สุดที่จะเจอตัว แต่ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไป จะเปิดช่องให้คนร้ายเอาตัวรอดได้แล้ว

ตำรวจโปรตุเกสไม่ยอมค้นหาบ้านหลังต่อหลัง และเริ่มกระบวนการปิดถนนห้ามเข้าออกเมือง ในเวลา 10.00 ของวันรุ่งขึ้น และไม่การตั้งด่านที่พรมแดนระหว่างประเทศ ซึ่งถ้าหากมีการลักพาตัวเกิดขึ้นจริง และคนร้ายคิดจะหนีออกจากจุดเกิดเหตุ ก็คงสามารถพาตัวไปได้ไกลแล้

8) มีการสืบสวนขอข้อมูลจากคนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ โดย เจน แทนเนอร์ หนึ่งในกลุ่มผู้ใหญ่ที่นั่งกินข้าวด้วยกัน เล่าว่าเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งอุ้มเด็กผู้หญิง ตอนเวลาประมาณ 21.15 แต่เธอเห็นหน้าไม่ชัด และไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคือแมดดี้หรือเปล่า ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าเป็นชาวบ้านที่อุ้มลูกหรือเปล่า จากนั้นก็กลับมาทานข้าวต่อ ซึ่งพอแมดดี้หาย เธอจึงให้ข้อมูลนี้กับตำรวจ

9) การหายตัวของแมดดี้ สร้างความสนใจให้กับทั้งยุโรป โดยบรรดาผู้ปกครองต่างคิดว่า การมาเที่ยวเมืองตากอากาศที่ควรมีความปลอดภัยสูง และลูกๆก็นอนอยู่ในโรงแรม แต่กลับมีคนมาบุกลักพาตัวได้ถึงห้อง ขณะที่สื่อต่างๆก็รุมโจมตีตำรวจโปรตุเกสที่ทำงานได้อย่างไร้ประสิทธิภาพ ตอนนี้สื่อมวลชนหลายร้อยชีวิต บุกมาทำข่าวกันที่เมืองปราย่า ดา ลุซ

10) นั่นทำให้ตำรวจโปรตุเกส เร่งหาคนร้ายในคดีให้เร็วที่สุด และได้ตัวผู้ต้องสงสัยคนแรก มีชื่อว่า โรเบิร์ต มูรัต เป็นชาวโปรตุเกสเชื้อสายอังกฤษ อายุ 34 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองปราย่า ดา ลุซ โดยมูรัต เข้ามาช่วยเหลือครอบครัวแม็คคานน์ ในเรื่องการแปล และการสื่อสาร กับสื่อมวลชนและตำรวจ เนื่องจากเขาพูดโปรตุเกสได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การเอาตัวมาอยู่ใกล้ชิดกับผู้เสียหายมากเกินไป ทั้งๆที่เป็นคนนอก ทำให้มูรัตถูกสงสัย เพราะมันมีหลายคดี ที่ฆาตกรจะชอบดูผลงาน และทำเป็นอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวเหยื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจลงสืบหาหลักฐานจริงๆ กลับพบว่า มูรัต ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีแน่นอน เขามีที่อยู่ชัดเจน และนั่นทำให้ ตำรวจยกเลิกสถานะผู้ต้องสงสัยออกอย่างเป็นทางการ

11) ด้วยความที่แมดดี้เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก และครอบครัวแม็คคานน์ ก็เป็นครอบครัวในระดับชนชั้นกลางของสังคม สามี-ภรรยาเป็นหมอทั้งคู่ ทำให้คนอังกฤษเกิดความสงสารเป็นอย่างมาก ที่หมอผู้อุทิศตัวช่วยเหลือสังคมกลับมาโดนอะไรแบบนี้ ดังนั้นประชาชนจึงให้กำลังใจอย่างล้นหลาม ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก นักบอลหลายทีมลงสู่สนามพร้อมใส่เสื้อรูปแมดดี้ ดารา-นักแสดงประกาศตัวพร้อมให้ความช่วยเหลือ แม้แต่นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ยังออกมากระตุ้นให้ทางฝั่งโปรตุเกสเร่งหาตัวแมดดี้ให้ได้โดยไว

12) ผ่านไป 12 วัน การค้นหาตัวแมดดี้ ไม่มีความคืบหน้าเลย ตำรวจโปรตุเกสทำงานกันช้ามาก ดังนั้นครอบครัวของแมดดี้ จึงประกาศจะจ้างนักสืบเอกชนเพื่อตามหาแมดดี้ด้วยตัวเอง พวกเขาตั้งกองทุน ชื่อ “กองทุนแมดเดอลีน” ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2007 และได้รับเงินสนับสนุนอย่างล้นหลาม เจเค โรวลิ่ง นักเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ , โคลีน รูนี่ย์ ภรรยาของนักฟุตบอลดัง รวมถึงไซม่อน คาวล์ กรรมการรายการ X-Factor บริจาคเงินกันเข้ามา ซึ่งรวมแล้วได้เงินประมาณ 1.8 ล้านปอนด์

13) นักสืบเอกชนที่จ้างมาหลายราย พยายามลงพื้นที่ แต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนตำรวจก็สืบสวนไป แต่พบว่าไม่มีหลักฐานใดๆของคนร้ายเลย เช่นรอยนิ้วมือ หรือเส้นผม คนร้ายทำงานอย่างเป็นมืออาชีพมาก ซึ่งหลังผ่านไป 1 เดือน ตอนนี้สถานการณ์เริ่มพลิกผัน เพราะสื่อในยุโรป เริ่มตั้งคำถามว่า คนร้ายจริงๆคือพ่อแม่เองหรือเปล่า เพราะตามทฤษฎีแล้ว เวลามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับเด็ก คนร้ายส่วนมาก จะเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับเด็ก ดังนั้นตำรวจจึงเริ่มเบนความสนใจมาที่พ่อแม่แทน

14) สื่อมวลชนเสนอทุกทฤษฎีความเป็นไปได้ แม้บางอันจะดูเลื่อนลอยมากก็ตาม ตัวอย่างเช่นนิตยสารในโปรตุเกสลงบทความชื่อ “A Pact of Silence” วิเคราะห์ว่า ผู้ใหญ่ทั้ง 9 คน จริงๆอาจรู้เรื่องการตายของแมดดี้แต่แรก แต่ทั้งหมดช่วยกันวางแผนเพื่อกลบเกลื่อนคดี ทำเป็นว่าเด็กหาย และทั้งหมดร่วมสัญญากันว่า จะไม่เปิดเผยความลับนี้ออกไ

15) แต่ส่วนหนึ่ง ต้องยอมรับว่าพ่อแม่เอง ก็มีข้อให้ชวนสงสัยเช่นเดียวกัน เพราะในวันเกิดเหตุ จริงๆพวกเขาสามารถจ้างพี่เลี้ยงของโรงแรมไปอยู่กับลูกได้ แต่พวกเขาก็ไม่ทำ โดยครอบครัวแม็คคานน์ อธิบายว่า ที่ผ่านมา 5 คืนก่อน กิจวัตรก็เป็นแบบนี้ซ้ำๆ คือพอกล่อมลูกหลับแล้ว ทั้ง 9 คน ก็ออกมากินอาหารที่ร้านนี้ด้วยกัน แล้วร้านอาหารก็อยู่ในโรงแรม เดินจากร้านไปห้องพัก ใช้เวลาแค่ 1 นาที คือมันใกล้มาก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลต้องจ้างพี่เลี้ยง

16) และอีกหนึ่งข้อสงสัยคือ ในห้องนอนที่แมดดี้โดนขโมยไป เตียงข้างๆเป็นลูกแฝดสองคนที่นอนหลับอยู่ เด็กทั้งคู่นอนหลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งๆที่พี่สาวหายไปทั้งคน มันหมายความว่า ถ้าเป็นคนร้ายก็ต้องทำอย่างเงียบเชียบและแนบเนียนมาก ซึ่งมันจะเป็นไปได้หรือ ที่จะมีคนร้ายระดับนั้น มาอยู่ในเมืองปราย่า ดา ลุซ และเพ่งเป้าไปที่แมดดี้โดยเฉพาะ

17) สถานการณ์พลิกกลับ โดยตอนนี้ทางการโปรตุเกส ตั้งให้พ่อแม่ของแมดดี้ เป็นผู้ต้องสงสัย ซึ่งพอรู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้ต้องสงสัย เจอร์รี่ กับ เคท บินกลับอังกฤษทันที โดยทีมกฎหมายแนะนำว่าให้ทำแบบนี้ เพราะถ้าอยู่โปรตุเกสอาจโดนยัดข้อหาแล้วติดคุกก็ได้ และถ้าอยู่ในคุกใครจะเดินเรื่องเพื่อค้นหาแมดดี้ ซึ่งกลายเป็นว่าพอบินกลับอังกฤษ ครอบครัวแม็คคานน์ ยิ่งถูกสื่อประโคมข่าวหนักกว่าเดิมว่ามีสิทธิ์เป็นคนร้ายตัวจริง

18) สื่อมวลชนในตอนนี้ ทำข่าวอย่างบ้าคลั่ง แต่ละสื่อนำเสนอทฤษฎีสุดโต่งมากมาย ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ ก็เสนอข่าวไปก่อน เพื่อให้มียอดขายหนังสือพิมพ์สูงที่สุด ทุกวันจะมีสื่อนับร้อยไปดักรอที่หน้าบ้านแม็คคานน์ จนทั้งเจอร์รี่ เคท และลูกแฝดใช้ชีวิตยากมาก โดยจุดนี้ประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความเห็นใจ สองสามีภรรยา โดยชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า ลำพังลูกหายตัวไปก็ทุกข์ทรมานใจจะแย่อยู่แล้ว อยู่ๆกลายมาเป็นจำเลยของสังคม และโดนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร ซึ่งถ้าพ่อแม่ไม่ได้ทำจริง สื่อมวลชนจะรับผิดชอบกับการนั่งเทียนของตัวเองว่าอย่างไร

19) ในเชิงการสืบสวน นี่เป็นคดีที่เป็นปริศนามากๆ เพราะไม่ค้นพบอะไรเลย ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ดีเอ็นเอของคนร้าย ภาพจากกล้องวงจรปิดก็ไม่มี แต่จะเชื่อมโยงให้พ่อแม่เป็นคนร้าย ดูจากไทม์ไลน์ของเวลา ก็ไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน สุดท้ายมีทฤษฎีที่มีแนวโน้มเป็นไปได้มากที่สุด คือ คนร้ายอาจซุ่มดูสถานการณ์อย่างน้อย 2-3 วันก่อนก่อเหตุ เพราะเขารู้ว่ากิจวัตรของครอบครัวแม็คคานน์จะทำเหมือนกันทุกวัน คือส่งลูกเข้านอน แล้วออกไปกินข้าวที่ร้านเดิมเวลา 20.30 น. ดังนั้นอาจโฉบมาเอาตัวแมดดี้ไป ทันทีที่พ่อแม่ ออกไปกินข้าว และอาจจะมีการวางยาให้แมดดี้ด้วย เพื่อให้สลบ ไม่ให้ร้องเสียงดังจนน้องแฝดสองคนตื่นขึ้นมา

จากนั้นเมื่อคนร้ายได้ตัวแมดดี้แล้ว ก็อาจขับรถข้ามประเทศไปเลย เพราะโปรตุเกสไม่ได้ตั้งด่านสกัดอะไร ในสหภาพยุโรป สามารถขับรถถึงกันได้หมด คนร้ายอาจจะไม่ใช่คนในพื้นที่ก็ได้ แต่อาจเป็นนักท่องเที่ยวที่มีรสนิยมใคร่เด็ก (Pedophilia) เมื่อเห็นความน่ารักของแมดดี้ อาจเล็งเป้าหมายเอาไว้ รอดูสถานการณ์ 2-3 วัน แล้วตัดสินใจบุกมาขโมยตัว ก่อนขับรถหนีออกจากโปรตุเกสทันที

20) ผ่านไป 4 ปี ไม่มีหลักฐานใดๆ ของแมดดี้โผล่มาให้เห็น ไม่เพียงแค่นั้น ไม่มีใครเคยพบเจอเธออีกเลย แม้ใบหน้าของแมดดี้จะถูกแปะใบปลิวไปทั่วยุโรปขนาดนี้ ดังนั้นในปี 2011 รัฐบาลของสหราชอาณาจักร ตัดสินใจนำทีมสืบสวนลงไปช่วยคดี แต่ก็ไม่เจออะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก

21) พ่อแม่ของแมดดี้ ยังคงไม่หมดความหวัง พวกเขาคิดว่าลูกสาวอาจโดนจับตัวไปอยู่ที่ไหนสักที่ แล้ววันหนึ่งอาจจะได้เจอกันอีกครั้ง ในทุกๆปี เจอร์รี่ กับ เคท จะทำกราฟฟิกที่บอกว่าถ้าแมดดี้ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้หน้าตาเธอจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่ยังไม่เจอศพ พวกเขาก็คาดหวังเสมอว่าลูกยังต่อสู้อยู่ ในอดีตที่ผ่านมา มีคดีลักเด็ก หลายเคสที่ เด็กที่โดนจับขังไว้ สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ และมาเจอพ่อแม่อีกครั้ง ซึ่งครอบครัวแม็คคานน์ก็หวังว่าพวกเขาจะเป็นผู้โชคดีแบบนั้น

22) ในขณะเดียวกัน คดีของแมดดี้ ทำให้สื่อมวลชนของอังกฤษโดนตั้งคำถาม เรื่องการนำเสนอข่าวที่รวดเร็ว ประเด็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็อัดประโคมข่าวเพื่อยอดขายของหนังสือพิมพ์ ซึ่งสุดท้ายครอบครัวแม็คคานน์ต้องฟ้องศาล และสุดท้ายหนังสือพิมพ์เดลี่ เอ็กเพรสส์ และ เดลี่ สตาร์ ต้องลงหน้า 1 เพื่อแสดงคำขอโทษอย่างเป็นทางการ

ในจุดนี้การเสนอข่าวแบบชี้นำของสื่ออังกฤษ ที่พุ่งเป้าไปที่ครอบครัวแม็คคานน์ว่าฆ่าลูกตัวเอง นอกจากจะทำให้สังคมตั้งคำถามเจอร์รี่ กับเคทแล้ว ยังทำให้กระบวนการสืบสวนมีความไขว้เขว แทนที่จะพุ่งเป้าไปที่การหาคนร้าย แต่กลับใช้ทรัพยากรมาโฟกัสที่พ่อแม่เด็ก ซึ่งสุดท้ายก็ค้นพบว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการสูญหายเล

23) 13 ปีผ่านไปนับจากวันเกิดเหตุ โดยตลอดช่วงทศวรรษ ก็มีการสืบหาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไปถึงทางตันทุกที อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 มิถุนายน 2020 ที่ประเทศเยอรมัน สำนักงานอัยการเมืองบราวน์ชไวก์ กำลังทำการสืบสวนชายเยอรมันอายุ 43 ปีคนหนึ่ง ชื่อย่อคริสเตียน บี (Christian B) ที่มีแนวโน้มว่าอาจเกี่ยวพันกับคดีของแมดเดอลีน

ชายคนนี้ติดคุกโทษฐานข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน และพออยู่ในคุกก็พบว่า เคยมีประวัติล่วงละเมิดทางเพศเด็ก 2 คน ถือเป็นอาชญากรที่มีความชำนาญมาก ขณะที่ความเชื่อมโยงของคดี คือชายเยอรมันรายนี้ เคยไปตั้งรกรากอยู่ในบริเวณปราย่า ดา ลุซ และในช่วงวันเกิดเหตุ เขาอยู่ห่างจากโรงแรมของแมดดี้ แค่ 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งแปลว่ามีความชำนาญเรื่องพื้นที่เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น หลังวันเกิดเหตุ 1 วัน คริสเตียน บี ได้ขายรถยนต์จากัวร์ให้กับคนอื่น จากนั้นตัวเองก็อพยพย้ายออกมาจากโปรตุเกสอย่างผิดสังเก

24) หลังจากมีการสืบสวน อัยการที่เยอรมันระบุว่า “คริสเตียน บี ยอมรับว่าก่ออาชญกรรมกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ” อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เด็กผู้หญิงคนดังกล่าวคือ แมดเดอลีนหรือไม่ อยู่ในขั้นตอนลงรายละเอียดสืบสวนกันต่อไป

25) สำหรับการสืบสวนตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวแม็คคานน์ และรัฐบาลสหราชอาณาจักร ใช้เงินในการสืบคดีรวมแล้วมากกว่า 11 ล้านปอนด์ นี่เป็นคดีเด็กหายที่ใช้งบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และถือว่าการมีผู้ต้องสงสัยรายใหม่ครั้งนี้ มีแนวโน้มที่จะเจอความจริงมากที่สุด

26) จากเหตุการณ์ที่โปรตุเกส ถ้าแมดดี้มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ เธอจะมีอายุ 17 ปีแล้ว และครอบครัวแม็คคานน์ก็ต้องการได้รู้ว่าลูกสาวของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ หรือเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาทำใจแล้ว แต่สิ่งที่พ่อแม่ต้องการคือความจริง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในวันนั้น และเช่นกันคนทั้งโลกก็อยากรู้ว่า แม้ระดมทรัพยาการมากมายขนาดนี้ แต่ไม่สามารถหาเด็กน้อยเพียงคนเดียวได้เจอ

แมดเดอลีน แม็คคานน์ เธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่ นี่คือปริศนาเด็กหายที่ไม่มีใครรู้ความจริงเลยจนถึงวันนี้

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า