พรเทพ พรทวี ลิเกเงินแสน หันขายกุยช่ายน้ำจิ้มรสเด็ดสู้วิกฤติโควิด

คณะลิเกดังแห่งเมืองสิงห์บุรี ‘พรเทพ พรทวี’ ไม่ต่างอะไรกับผู้มีอาชีพมหรสพแขนงอื่นที่ได้รับผลกระทบจากการสถานการณ์โควิด-19 งานแสดงลิเกที่เจ้าภาพจองคิวไว้ยาวเป็นหางว่าวนับตั้งแต่ต้นปี 2563 ถูกยกเลิกทั้งหมด ทันทีที่มีคำสั่งล็อกดาวน์เมื่อกลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา

ในสถานการณ์ปกติ คณะลิเกพรเทพ พรเทวี ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างมาก โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง มีเจ้าภาพมาจ้างลิเกไปทำการแสดงตามสถานที่ต่างๆ ทั้งปี 200 – 300 วัน รายได้คืนละ 110,000 – 150,000 บาท ขณะที่ความโด่งดังของ พรเทพ พรทวี พระเอกลิเกที่อนุรักษ์คำร้องท่ารำโบราณ แถมเล่นตลกกับลุงแป ตัวโจ๊กวัย 75 ปีได้อย่างสนุกสนาน ในยุคเฟืองฟูสุดขีดพรเทพ เคยได้พวงมาลัยคล้องคนเดียวถึง 200,000 บาท

แต่แล้วสิ่งที่ใครคาดคิดก็เกิดขึ้นกับ 80 กว่าชีวิต ทั้งตัวละครลิเกหลัก วงปี่พาทย์ นักดนตรี คนทำเครื่องเสียงเวทีที่ล้วนเป็นลูกๆ หลานๆ พากันตกงานขาดรายได้ แต่ทว่าหนทางไม่มืดมน เมื่อ พรพรรณ พรเทวี หลานสาวของพระเอกพรเทพ ซึ่งเป็นคนชอบทำอาหาร เกิดไอเดียชวนคนในครอบครัวทดลองทำกุยช่ายไส้ผักไส้เผือกออกขาย ภายใต้แบรนด์ ‘กุยช่ายเจ๊ชม’

กุยช่ายเจ๊ชม มาจากชื่อชมพู่ ชื่อเล่นจริงๆ ของพรพรรณ พรเทวี ผู้คิดค้นทดลองสูตรกุยช่ายและน้ำจิ้มรสเด็ดไม่เหมือนใคร โดย ป้าพร พี่สาวของพระเอกพรเทพ เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ชาวคณะหันมายึดอาชีพขายกุยช่ายว่า

พรพรรณเป็นต้นคิด เขาเปิดดูสูตรกุยช่ายจากในอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็ลองทำมาให้ช่วยกันชิมทำผิดทำถูกทำทิ้งหลายครั้งจนได้รสชาติที่พอใจ จึงนำออกขายผ่านทางเฟซบุ๊ก ครั้งแรกที่ทำขายตอนต้นเดือนเมษายน 40 – 50 กล่อง พอวันที่สองมียอดสั่ง (ออเดอร์) ถึง 400 กล่อง สูงสุดคือ 1,300 กล่อง

“ตอนที่เขาให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 15,000 บาท ไม่ได้เงินกัน เขาไม่ให้เรา เราก็เลยคิดว่าเขาไม่ให้ก็ไม่เอาล่ะ ทำกินดีกว่า เลยลองทำแล้วโพสต์ขายในเฟซบุ๊ก”

ไม่ใช่แค่คนในจังหวัดสิงห์บุรี ที่มาเป็นลูกค้ากุยช่ายเจ๊ชม ตอนนี้ออเดอร์กุยช่ายหลั่งไหลมาจากหลายจังหวัด อาทิ กาญจนบุรี นครปฐม นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร โดยที่นครสวรรค์ และพิจิตร คือลิเกที่ตกงานเหมือนกันมารับกุยช่ายไปขายต่อ ป้าพรบอกว่า เขาบวกกำไรจากที่ซื้อเราไปนิดหน่อย เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเข้าใจที่เขาทำมาหากิน ก็ได้แต่ภาวนาให้เขาขายดีๆ เหมือนกัน ออเดอร์เราก็จะได้เยอะตามไปด้วย

ส่วนเคล็ดลับมัดใจลูกค้า ของกุยช่ายเจ๊ชม มีคอนเซ็ปว่า “ไส้แน่น แป้งนิ่ม น้ำจิ้มแซ่บ” โดยจะไปซื้อวัตถุดิบใหม่ๆ ที่สั่งจากเจ้าประจำในตลาดสิงห์บุรี ซื้อผักกุยช่าย เผือก แป้ง และส่วนประกอบอื่นๆ ตามออเดอร์ที่สั่งซื้อเท่านั้นไม่ใช้ของค้างมาทำ ตัวกุยช่ายจึงการันตีได้ว่าใหม่สดแป้งนิ่มจริงๆ บวกกับไส้ที่ไม่หวงของเกินราคากล่องละ 40 บาท ทำให้ลูกค้าติดใจซื้อซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นคือน้ำจิ้มที่รสเด็ด ปรุงแซบด้วยรสเปรี้ยวนำไม่เหมือนเจ้าอื่นที่จะปรุงรสหวานนำ

ด้วยความเป็นคณะลิเกที่มีชื่อเสียง ทำให้ต้องถามถึงฟีดแบคจากบรรดาแม่ยกที่เห็นว่าลิเกขวัญใจต้องหันมาทำกุยช่ายขาย ซึ่ง ป้าพร ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีใครในคณะลิเกทำกุยช่ายเป็นมาก่อนและไม่ถนัดขายของกันนัก แต่ด้วยความจำเป็นก็ลงมือช่วยกันทำ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นคณะลิเกดังจะอับอายที่ต้องมาขายของ

“มีคนพูดเหมือนกันว่า จนขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็เลยย้อนไม่ได้จนขนาดนั้นหรอก ยังมีกินอยู่ แต่ว่าทำไมจะต้องมารอขอหลวงกิน เขาไม่ให้เราก็ต้องทำมาหากิน ต้องดิ้นรน เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องหยุดอีกนานเท่าไหร่ ถ้าหยุดไปเรื่อยๆ เราก็ควักเงินเก่ากินเรื่อยๆ จะไม่หมดเหรอ เราก็ย้อนไปแบบนี้ ไม่อายเรื่องอะไรจะอายทำกินจะต้องไปอายใคร คนที่ไม่ทำกินที่น่าอาย”

น้าบูรณ์ยิ่งไม่อาย… (ป้าพรเรียกพรเทพ พรทวีว่า น้าบูรณ์ ตามชื่อเดิมคือ สมบูรณ์ แย้มศรี) …แล้วเรามาขายกุยช่ายแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปขอใครให้เสียศักดิ์ศรี ไปร้องไปรำแลกเงินอย่างที่คนอื่นเขาทำ น้าบุญเขาไม่เอาหรอก และเขาก็ทำกุยช่ายเองทำเป็นทุกอย่าง

ขณะที่ พรเทพ พรเทวี ได้กล่าวในรายการ ปัญญา ปันสุข ให้กำลังใจคนที่ต้องเจอกับสถานการณ์ทุกข์ยากแตกต่างกันไปในวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ว่า “เราทุกคนทุกสาขาอาชีพโดนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องผ่านไปด้วยกัน ผู้มีพระคุณช่วยเราแล้วเราก็ต้องช่วยตัวเองกันด้วย ขอให้ทุกคนอดทนและต่อสู้ไปด้วยกัน จนกว่าจะพ้นโควิดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น ขอให้กำลังใจทุกคน สู้ๆ นะครับ”

แม้งานการแสดงลิเกจะเริ่มมีเจ้าภาพกลับมาติดต่อให้ไปทำการแสดงบ้างแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่บรรดาสมาชิกในคณะ ต่างเห็นประโยชน์ของการมีอาชีพที่สองไว้รองรับเหตุฉุกเฉินเมื่ออาชีพหลักถูกสั่นคลอนเพราะปัจจัยที่ไม่นึกฝัน โดยยืนยันยังคงทำและขายกุยช่ายต่อไป และเร็วๆ นี้จะมีขนมจีบไส้หมูสุดอร่อยออกมาวางขายด้วย