Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

สัมภาษณ์นักแสดง เผยเบื้องหลัง Tale of the Nine Tailed 1938 ซีรีส์ที่เล่าช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นล้างความเป็นเกาหลี ผ่านเรื่องราวแฟนตาซี

Tale of the Nine Tailed 1938 ซีรีส์เกาหลีภาคต่อของ Tale of the Nine Tailed ซึ่งออกอากาศไปในปี 2020 ตัวละครหลักของในซีซั่นนี้ยังคงเป็น “อียอน” รับบทโดย อีดงอุค จิ้งจอกเก้าหางอายุ 1,000 ปี หรือที่รู้จักกันในนามของ “กูมีโฮ” (구미호; 九尾狐) อีดงอุคได้เผยให้เราทราบว่าในซีซั่นนี้ “เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อหญิงสาวที่เขารัก แต่เขาจะต่อสู้เพื่อครอบครัว เพื่อนพ้อง และประเทศที่เขารัก” เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่ออียอนได้ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์และมีความสุขกับจีอา ผู้หญิงที่เขารัก จากการเสียสละของน้องชายหรืออีรัง รับบทโดย คิมบอม แต่เมื่อเขารู้ว่าอีรังจะไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีก อียอนจึงได้ตัดสินใจทำสัญญาบางอย่างเพื่อช่วยให้น้องชายเขากลับมาเกิดใหม่ได้ 

 

จากข้อตกลงนี้อียอนจึงกลับไปเป็นจิ้งจอกเก้าหางอีกครั้ง และต้องย้อนกลับไปยังเกาหลีปี 1938 ยุคแห่งความโกลาหลที่เขาต้องพยายามหาทางปกป้องคนที่รัก ต้องยอมสละบางสิ่งเพื่อความรัก และมีสิ่งที่เขาต้องชดใช้…เพื่อที่เขาจะกลับมาสู่ยุคปัจจุบัน

ที่นั่นเขาได้พบกับมิตรและศัตรูที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น “อีรัง” ลูกครี่งมนุษย์กับจิ้งจอกเก้าหาง เขาเกลียดอียอนพี่ชายสุดหัวใจจนตั้งตัวเป็นศัตรู แต่อีกด้านหนึ่งของหัวใจเขาก็กำลังแอบรักใครบางคนอยู่…ทำให้เขาไม่อยากเป็นมนุษย์จิ้งจอก ในปี 1938 นี้อีรังกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร และหัวหน้ากลุ่มหมาป่าที่ทั้งหยิ่งยโสและดื้อรั้น

 

คิมบอมแอบเผยว่าผู้ชมจะได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างอียอนกับอีรังเปลี่ยนแปลงไปว่า 

“แม้ในยุค 1938 อีรังก็ยังคงเกลียดแค้นพี่ชายอยู่ครับ อยู่ในสถานะที่ยังคงมีความเข้าใจผิดเดิมอยู่ แต่จิตใจของผมก็เปลี่ยนไป เพราะอียอนดันรู้เรื่องราวในอนาคต คิดว่าการดำเนินเรื่องน่าจะแตกต่างออกไปจากซีซั่นแรกครับ ทุกท่านจะได้เห็นภาพของพี่น้องสุดเท่ ในเวอร์ชันที่เข้ากับบรรยากาศของยุคนั้นครับ”

 

ในส่วนของคอสตูมและพร็อพประจำตัวนั้นคิมบอมเล่าให้ฟังว่า ตนเองต้องใส่วิกผมบางฉากเพื่อถ่ายทอดให้ตัวละครของเขามีลุคดุร้าย ในตอนแรกเจ้าตัวก็กังวลว่าจะออกมาดีหรือไม่ แต่หลังจากที่ได้ลองใส่วิกแล้ว ปรากฏว่าเขาชอบและชื่นชมความสามารถของทีมแฮร์สไตลิสต์

นอกจากนี้คิมบอมยังมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นและออกแบบเสื้อผ้าให้กับตัวละครของเขาร่วมกับทีมงานฝ่ายเสื้อผ้าอีกด้วย เจ้าตัวถึงกับเอ่ยว่า “ถ้าให้พูดแบบเว่อร์ๆผมว่า ผมลองเสื้อผ้าไปกว่า 1,000 ชุดได้”

มิตรหนึ่งเดียวของอียอนดูเหมือนจะมีแค่ “รยูฮงจู” รับบทโดย คิมโซยอน อดีตเทพเจ้าภูเขาแห่งทิศตะวันตก ผู้ที่งามหาใครจะเปรียบได้  เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารที่เลิศรสที่สุดใน “คยองซอง” หรือกรุงโซลในยุคนั้น มีผู้คนมากมายรายล้อมเธอ แต่เธอไม่เคยนับใครเป็นเพื่อน ถ้าผู้นั้นอ่อนแอกว่าเธอ  

 

โดยคิมโซยอนเผยสาเหตุที่ตัดสินใจมาร่วมเล่นในซีซั่นนี้ว่า 

“…ฉันเองอยากเล่นแนวแฟนตาซีมาก ๆ เลยค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสในชีวิตที่ได้เล่นแฟนตาซีที่ตัวฉันได้ลองโบยบินบนท้องฟ้าดู เป็นจุดที่ชอบที่สุดเลยตอนที่ได้รับบทนี้มาค่ะ…ตัวละครนี้มีหลายด้าน ทั้งฉลาดและมีพลังเหนือมนุษย์ อีกทั้งเธอยังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเทพเจ้าภูเขาทั้งสี่

 

คิมโซยอนยังได้เรียนวิธีการต่อสู้เพิ่มเติมก่อนที่จะเริ่มต้นถ่ายทำ เนื่องจากบทบาทรยูฮงจูนั้นต้องใช้ดาบเป็นอาวุธประจำตัว เธอแอบกระซิบมาว่าฉากที่ตนเองวาดลวดลายบนเพลงดาบนั้นห้ามแม้แต่จะกระพริบตาเลย

ศัตรูคนใหม่ของอียอนอีกคนที่ต้องจับตามองในภาคนี้คือ “ชอนมูยอง” รับบทโดย รยูคยองซู อดีตเทพเจ้าภูเขาแห่งทิศเหนือ เสือแห่งภูเขาแพคดู ในอดีตเขามีบุคลิกที่อ่อนโยน คอยช่วยชีวิตคนตาย และเป็นเพื่อนรู้ใจของอียอน ทว่าต่อมาเขากลายเป็นคนเหี้ยมโหด พร้อมจะฆ่าอียอนได้ทุกเมื่อ

 

เช่นเดียวกับรยูคยองซูซึ่งเป็นนักแสดงหน้าใหม่ในซีซั่นนี้ เขากล่าวด้วยความยินดีที่ได้มาร่วมเล่นว่า 

“บทสนุกมากครับ อ่านบทจบเร็วมาก ๆ ส่วนจุดที่ผมกังวลคือต้องเล่นเป็นบทเพื่อนของคุณอีดงอุคและคุณคิมโซยอน กังวลว่าประสบการณ์ของผมจะเล่นออกมาได้เข้ากับทั้งสองท่านไหม แต่ผู้กำกับทำให้ผมกล้าและมีความเชื่อ ก็เลยทำให้แสดงออกมาได้มั่นใจมากขึ้นครับ”

 

ก่อนจะรับชมละคร Tale of the Nine Tailed 1938  ขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปดูกันว่า ในปี 1938 เกิดอะไรขึ้นที่เกาหลีบ้าง

เกาหลีในปีค.ศ. 1938 อยู่ในยุคอาณานิคมภายใต้การปกครองญี่ปุ่น (1910-1945) 일제 강점기; 日帝強占期 โดยในปีถัดมาเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้น  ก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นทำสงครามในดินแดนเอเชียอย่างต่อเนื่อง ต่อมาปี 1941 ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวญี่ปุ่นระดมใช้ทรัพยกรธรรมชาติและแรงงานของเกาหลีในการแผ่ขยายอำนาจของตนเองอย่างเต็มที่ หนึ่งในภาพสะท้อนสังคมเกาหลีปี 1938  คาดว่าผู้ชมจะได้เห็นในละครคือนโยบาย “ญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นหนึ่งเดียว” (Japan and Korea as one body) และ “ความกลมกลืนระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี” (Harmony between Japan and Korea) ซึ่งประกาศใช้ในปี 1936  โดยนายพล Minami Jiro ข้าหลวงใหญ่ชาวญี่ปุ่นประจำเกาหลีในเวลานั้น  อาจกล่าวได้ว่านโยบายดังกล่าวเป็นการผสมกลมกลืนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี หรือกลืนชาติเกาหลีอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ชาวเกาหลีจงรักภักดีและสละชีพเพื่อจักรพรรดิญี่ปุ่น

ในปี 1937 มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการข้อมูลข่าวสารเพื่อสอดส่องและควบคุมพฤติกรรมชาวเกาหลี รวมทั้งเพิ่มกำลังทหาร ตำรวจ และหน่วยสืบราชการลับเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมชาวเกาหลีให้ทั่วถึง

ถัดมาในปี 1938 มีการตั้งสหพันธ์องค์กรเยาวชนเกาหลี เพื่อรวมนักเรียน นักศึกษาให้อยู่ในองค์กรที่รัฐบาลญี่ปุ่นควบคุม และจัดตั้งองค์กรสำหรับกรรมกร ชาวนา ชาวประมงในอีก 2 ปีถัดมาเพื่อความสะดวกในการเกณฑ์แรงงานไปผลิตอาวุธและเป็นกำลังพลในการทำสงคราม

ในช่วงปี 1938-1939 ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายกลมกลืนชาวเกาหลีเข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างเป็นรูปธรรม การทำลายวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อของเกาหลีซึ่งเราอาจจะได้เห็นในละครนั้น มีตั้งแต่การประกาศให้โรงเรียนในทุกโรงเรียนใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษากลางในการเรียนการสอน นักเรียนต้องพูดภาษาญี่ปุ่นทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน  รวมถึงชาวบ้านทั่วไปต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน ตลอดจนสื่อสิ่งพิมพ์เกาหลีถูกสั่งปิด

ทุก ๆ เช้านักเรียนเกาหลีต้องตั้งโค้งคำนับไปทางทิศที่ตั้งของพระราชวังจักรพรรดิญี่ปุ่น  ส่วนชาวบ้านถูกบังคับให้ไปวัดชินโตเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าที่เคยเป็นวีรชนของชาวญี่ปุ่น นโยบายที่ร้ายแรงที่สุดคือข้าหลวงใหญ่ประกาศให้ชาวเกาหลีเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลเป็นแบบญี่ปุ่น ซึ่งขัดแย้งกับค่านิยม และความเชื่อของชาวเกาหลีเป็นอย่างมาก ชาวเกาหลีถือว่าชื่อ แซ่เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษให้มา ต้องรักษาไว้ หากไม่รักษาไว้จะเป็นการอกตัญญู

ในช่วงปี 1940-1941 ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว รัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้งสมาคมเพื่อนบ้านรักชาติให้ชาวเกาหลีคอยดูแลช่วยเหลือกัน และปฏิบัติตามคำสั่งรัฐ ในเวลาเดียวกันสมาคมนี้ถูกใช้เป็นฐานในการระดมเงิน และสิ่งของบริจาค ตลอดจนแรงงาน และอาหาร ที่สำคัญญี่ปุ่นประกาศนโยบายเกณฑ์ชาวเกาหลีร่วมรบในสงครามทั้งกองทัพบก และทหารเรือกว่า 200,000 คน รวมถึงผู้หญิงชาวเกาหลีถูกเกณฑ์ไปให้บริการทางเพศแก่ทหารญี่ปุ่นอีกด้วย (Comfort women)

การเซตฉากท้องเรื่องให้มีภูมิหลังเป็นธีมพีเรียด ย้อนยุคในช่วงสงคราม ทำให้นักแสดงแต่ละคนได้ประสบการณ์ความสนุกและความแปลกใหม่ระหว่างการถ่ายทำกันไม่มากก็น้อย

คิมบอม: 

สำหรับผมอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำเช่น ในฉากแอ็กชัน ผมต้องขี่ม้าแทนขับรถยนต์ รวมถึงปืนที่ก็เป็นปืนที่ใช้จริง ในยุคสงครามโลกครั้งที่สองครับ รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้แปลกใหม่มากเลยครับ

อีดงอุค:

ทีมศิลปะของพวกเราสร้างฉากถ่ายทำกลางแจ้งที่สุดยอดมาก  เพื่อที่จะสร้างภาพบรรยากาศของปีค.. 1938 ออกมา เวลาที่ได้เข้าไปแสดงในฉากนั้น ทำให้รู้สึกราวกับว่าได้ไปในยุคนั้นจริง เลยและส่วนอื่น ก็ต้องเติมเต็มต่อด้วย CG…”

 

คิมโซยอน:

“…เนื่องจากเป็นซีรีส์แนวแฟนตาซี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ไปกองถ่ายที่มี ฉาก Green Screen chroma key อยู่ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน รู้สึกว่ามันพิเศษและสนุกมาก ประทับใจมาก ค่ะ

รยูคยองซู:

“…ตอนนั้นมีทั้งฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวหมดเลยใช่ไหมครับทุกท่านจะได้ชมวิวธรรมชาติของทั้งสี่ฤดู และผมคิดว่าในผลงานชิ้นนี้มีภาพความสวยงามของธรรมชาติในเกาหลีอยู่เยอะมากเลยครับ

 

แน่นอนว่าการถ่ายทำฉากหลังของซีรีส์ในยุคอดีต รวมทั้งตัวละครหลักต้องสวมบทบาทเป็นเทพเจ้า หรือสัตว์ในตำนานจากนิทานพื้นบ้านของเกาหลีและญี่ปุ่น ส่งผลให้นักแสดงแต่ละคนได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งประวัติศาสตร์ ตำนาน นิทานพื้นบ้าน และท่าทางของสัตว์ต่าง ๆ นอกจากนี้การดำเนินเรื่องราวในซีซั่นนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวความรักมากมายจากหลากหลายตัวละคร ชวนลุ้นว่าจะได้สร้างซีซั่นสามต่อหรือไม่

คิมบอม:

ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับยุค ค.. 1938 ที่เป็นฉากหลังของซีรีส์เรื่องนี้มากขึ้นครับ ถึงแม้ว่าตัวละครของพวกเราจะไม่ได้มีอยู่จริง แต่ทีมงานและนักเขียนของเราก็มีการค้นคว้าอย่างมาก เพื่อที่จะแสดงภาพของยุคนั้นออกมาให้ได้สมจริงที่สุด ในมุมของพวกเราที่เป็นนักแสดงก็เช่นกัน ก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับยุคนั้นมากขึ้นครับ

สำหรับผม ตั้งแต่ในซีซั่น 1 เพราะผมต้องรับสวมบทบาทเป็นคูมีโฮในร่างจิ้งจอกพื้นเมืองเกาหลี ผมเลยดูสารคดีเกี่ยวกับจิ้งจอกพื้นเมืองเกาหลี ดูว่าจุดนี้น่าจะเอามาใช้ในฉากแอ็กชันได้ อย่างเช่น มนุษย์จะใช้การต่อยกัน แต่คูมีโฮจะใช้การข่วนกันแทน ผมจะใส่ใจในเรื่องแบบนี้ครับ

คิมโซยอน:

สำหรับฉันในช่วงที่อ่านบทก็สนุกมาก ได้เรียนรู้และศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับตำนานเทพนิยายของเกาหลี หวังว่าผู้ชมจะได้รู้ว่าตำนานของเกาหลีมีส่วนที่สนุกเยอะขนาดนี้เลยค่ะ

 

ตัวละครของฉันจริง แล้วเป็นนกเค้าอินทรีค่ะ เป็นบทบาทที่สนุกและมีเสน่ห์มาก ตัวฉันเองก็ได้ไปหาสารคดีเกี่ยวกับนกเค้าอินทรีดูเหมือนกัน ก็เลยอยากจะลองแปลงร่างเป็นนกเค้าอินทรีในละครดูสักครั้ง ฝากทุกคนช่วยรอติดตามดูว่าฉันจะได้แปลงร่างหรือไม่นะคะ

รยูคยองซู:

ในบรรดาผลงานที่ผมแสดงมาจนถึงตอนนี้มีบทแอ็กชันผสมอยู่เล็กน้อย แต่ต่อให้รวมฉากแอ๊คชั่นทั้งหมดที่ผมแสดงมา ก็ยังไม่เยอะเท่าฉากแอ็กชันในผลงานชิ้นนี้ครับ ผมเลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับฉากแอ็กชันเยอะมากครับ พอได้ลองแสดงดูแล้วก็สนุกมาก รู้สึกว่ายิ่งได้แสดงก็ยิ่งพัฒนามากขึ้น คิดว่าเล่นแอ็กชันได้ดีมากขึ้นครับ

ระหว่างถ่ายทำผมต้องใช้การจินตนาการเอาครับอย่างเวลาที่มีไฟออกมาจากมือผม ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีไฟออกมาใช่ไหมล่ะครับ ต้องเอาไปทำ CG คอมพิวเตอร์กราฟิกต่อทีหลัง ทำให้บางครั้งก็เกิดสถานการณ์ที่ทำให้เขินอายอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ต้องสะกดจิตตัวเองครับ เพราะผมต้องเชื่อในสิ่งนี้ก่อน…”

อีดงอุค:

ส่วนตัวแล้วเป็นครั้งแรกสำหรับผมที่ได้เล่นผลงานที่มีซีซั่นต่อมาแบบนี้ ผมก็ได้ศึกษาว่าจะต้องดำเนินเรื่องต่อไปยังไง ด้วยวิธีไหนดี ถ้าเกิดว่า Tale of the Nine Tailed 1938 มีซีซั่นต่อไปอีก ผมคิดว่าทั้งตัวผมเอง ผู้กำกับและนักเขียนน่าจะมีเคล็ดลับต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการผลิตผลงานที่ดียิ่งกว่านี้ได้อีกครับ

เนื่องจากไม่ได้ต้องเล่นเป็นตัวสัตว์จริง ๆ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจตำนานสัตว์เทพเจ้าเกาหลีเท่าไร ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราอินไปกับโลกที่นักเขียนสร้างขึ้นมาให้ได้มากแค่ไหน สิ่งที่สำคัญสำหรับซีรีส์แนวแฟนตาซีคือการที่นักแสดงและผู้ผลิตต้องสามารถทำให้คนดูเชื่อได้ ผมจะคอยคิดว่าผมจะแสดงออกมาเหมือนกับคูมีโฮที่มีชีวิตมานานกว่า 1,600 ปีจริง ๆ ไหม มีคุณสมบัติ ความเฉลียวฉลาด และการแสดงแอ็กชันพวกนั้นได้ไหม

 

แล้วมาก้าวเข้าสู่โลกแห่งแฟนตาซีที่มีฉากหลังเป็นเกาหลีในยุค 1938 ช่วงที่ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่สองกำลังจะปะทุขึ้น ผ่านเรื่องราวที่ผสานระหว่างความรักของมิตรภาพ ครอบครัว ประเทศชาติ กับเส้นเรื่องดราม่า-บู๊แอ็กชัน ในแอปพลิเคชัน Prime Video ทุกคืนวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.30 น.  รับชมตอนแรก คืนวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2566 นี้ค่ะ

 

 

อ้างอิง

พิพาดา ยังเจริญ. (2556). ประวัติศาสตร์เกาหลี ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 การแข่งขันและแทรกแซงจากต่างชาติ อาณานิคม และชาตินิยม. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า