Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ในตอนนี้ กระแสของแฟนๆซูเปอร์ฮีโร่ มีการตั้งแฮชแท็ก#Boycottsony กันอย่างหนักหน่วง ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากการที่ ค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส จะเอา “สไปเดอร์แมน” ออกจากจักรวาลมาร์เวล

 

ดราม่า โซนี่ – ดิสนีย์ – มาร์เวล – สไปเดอร์แมน มีเรื่องราวเป็นอย่างไร จุดเริ่มต้นของความแตกร้าวอยู่ตรงไหน Workpoint News จะสรุปให้เข้าใจภายใน 21 ข้อ

1) สไปเดอร์แมน เป็นตัวการ์ตูน ที่มาจากการสร้างสรรค์ของ สแตน ลี และ สตีฟ ดิ๊ตโก้ เปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 1962 เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มไฮสคูลชาวนิวยอร์ค ที่ชื่อ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ โดยเขาถูกแมงมุมที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีกัด ทำให้มีพลังพิเศษ กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ที่ปล่อยใยแมงมุมได้

2) แม้ในฉบับหนังสือ จะได้รับความนิยมมาก แต่เมื่อนำไปทำเป็นภาพยนตร์กลับไม่ประสบความสำเร็จมากนัก “ฮอลลีวู้ด ตอนนั้นกำลังเบื่อซูเปอร์ฮีโร่ ยิ่งมีแฟรนไชส์ซูเปอร์แมน ที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในปี 1979 แล้ว ยิ่งทำให้ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นแจ้งเกิดยากขึ้น” ไมเคิล ฮิลซิค นักข่าวจากนสพ.แอลเอ ไทมส์ เผย

ดังนั้นในปี 1985 ทางมาร์เวล จึงตัดสินใจเลิกทำภาพยนตร์ด้วยตนเอง แล้วประกาศขายลิขสิทธิ์สไปเดอร์แมน ให้ค่ายไหนก็ได้ที่สนใจเอาไปทำดู แลกกับเงินก้อน “ตอนที่มาร์เวล ประกาศขาย แทบไม่มีคนสนใจเลย” ไมเคิล ฮิลซิคกล่าว

ท้ายที่สุด ค่ายหนังเล็กๆชื่อ แคนน่อน ฟิล์ม ซื้อสิทธิสไปเดอร์แมนสำหรับทำภาพยนตร์ได้สำเร็จ โดยแคนน่อน ฟิล์ม ต้องจ่ายเงินให้มาร์เวล ปีละ 225,000 ดอลลาร์

3) แคนน่อน ฟิล์ม ซื้อลิขสิทธิ์ไป แต่แทนที่จะสร้างหนัง ตัวองค์กรกลับมีปัญหาภายใน จนสุดท้ายไม่มีการสร้างหนังเกิดขึ้นกันเสียที

สุดท้าย แคนน่อน ฟิล์ม ล้มละลาย และมาร์เวลจึงยื่นคำร้องต่อศาล ขอเรียกร้องสิทธิการทำหนังของสไปเดอร์แมนคืน ศาลอนุมัติ และสิทธิการทำหนังสไปเดอร์แมน จึงกลับคืนสู่มาร์เวลในปี 1998

4) มาร์เวลนั้น ยังไม่มีประสบการณ์ ในการทำภาพยนตร์มากนัก พวกเขาโดดเด่นในสาย Comics ดังนั้น จึงตัดสินใจว่า จะขายสิทธิในการทำหนังให้ค่ายอื่นอีกครั้ง โดยมาร์เวลจะได้รับเงินก้อน และส่วนแบ่งจากยอดขายในอนาค

มาร์เวล ขาย X-Men และ Fantastic 4 ให้ค่าย 20th Century Fox ขณะที่สไปเดอร์แมน ขายให้ Columbia Pictures ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Sony Pictures Entertainment ในราคา 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นั่นแปลว่าสิทธิในการทำหนังสไปเดอร์แมน กลายเป็นของโซนี่ แล้วนั่นเอง ตั้งแต่ปี 1999

5) ปรากฏว่า ภาพยนตร์ที่มาร์เวล ปล่อยขายไป ทำเงินมหาศาลทั้งสิ้น สไปเดอร์แมน 3 ภาคแรก ที่มีโทบี้ แม็คไกวร์เล่น ทำเงินรวมทั่วโลก ไปราวๆ 2.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ค่ายมาร์เวล ได้ส่วนแบ่งไปแค่ 62 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

หรืออย่าง X-Men สองภาคแรก ทำเงินรวมกัน ราว 7 ร้อยล้านดอลลาร์ แต่มาร์เวลได้เงินส่วนแบ่งแค่ 26 ล้านเท่านั้น

6) นั่นทำให้ทางมาร์เวล เริ่มตระหนักว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ สามารถทำเงินได้มหาศาลมาก และจริงๆ มาร์เวลสามารถสร้างหนังเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาค่ายอื่น ดังนั้นมาร์เวล จึงไปกู้เงินจากธนาคารรวมแล้ว 525 ล้านดอลลาร์ กับแผนระยะยาว คือสร้างภาพยนตร์ 10 เรื่องติดต่อกัน เชื่อมโยงกันเป็นจักรวาล

โดยเรื่องแรก ที่มาร์เวล สตูดิโอ สร้างด้วยตนเอง คือ Iron Man ถูกวางฉายในปี 2008 ตามด้วย The Incredible Hulk ฉายต่อเนื่องในปีเดียวกัน

โดยแต่ละเรื่องมีทุนสร้าง ราว 100-165 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง ณ เวลานั้น นักวิเคราะห์ก็มองว่า เป็นเรื่องเสี่ยงพอสมควร เพราะมาร์เวลที่ทำหนังสือคอมิกส์ และ อะนิเมชั่นสำหรับทีวีมาตลอด ถือว่ายังไม่เจนจัดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ถ้าหากลงทุนไปหนักขนาดนี้ แล้วหนังออกมาไม่ดี เผลอๆบริษัทอาจล่มสลายได้เล

7) อย่างไรก็ตาม Iron Man ที่ลงทุนไป 140 ล้านดอลลาร์ กลับทำเงินได้ 585.2 ล้านดอลลาร์ ถือว่าทำกำไรพอสมควร เช่นเดียวกับ The Incredible Hulk ก็ไม่ขาดทุน ใช้ทุนสร้างไป 150 ล้าน แต่ทำเงินไป 263.4 ล้าน

อย่างไรก็ตาม นิวยอร์ก ไทมส์ ชี้ว่า กำไรที่ได้จากทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวยังน้อยเกินไป สำหรับแผนการสร้างจักรวาลมาร์เวล ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ มาร์เวล ก็จำเป็นต้องกู้เงินธนาคารอีกรอบ

8 ) ในปี 2009 ค่ายยักษ์ดิสนีย์ เห็นศักยภาพของมาร์เวลว่าสามารถเติบโตได้ เพราะมีคอนเทนต์ดีๆมากมาย ดังนั้น ดิสนีย์จึงจ่ายเงิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อมาร์เวล มาเป็นบริษัทลูกของตัวเอง

ดิสนีย์จะได้สิทธิเข้าถึงตัวละครทั้ง 5,000 ตัวของมาร์เวล และได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่ จากรายได้ของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ขณะที่มาร์เวล ก็จะได้ “ทุน” ก้อนมหาศาลจากดิสนีย์ เพื่อเอาไปสร้างจักรวาลมาร์เวลที่ตัวเองต้องการ คือต่อไปนี้ จะสร้างหนังเนี้ยบแค่ไหน ใช้ทุนเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหาอีกแล้ว ไม่ต้องไปกู้ธนาคารแบบเมื่อก่อนอีก

นอกจากนั้น ศาสตร์ต่างๆจากดิสนีย์ ที่มีประสบการณ์ในการทำภาพยนตร์มากกว่า ก็จะถูกถ่ายทอดให้บุคลากรของมาร์เวลด้วย เพื่อช่วยพัฒนาคอนเทนต์ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

9) หลังจากดิสนีย์ ซื้อมาร์เวล มาเป็นบริษัทลูก มาร์เวล สตูดิโอ ก็ค่อยๆปล่อยภาพยนตร์ออกมาเรื่อยๆ ทุกปี ไล่ตั้งแต่ Thor , Captain America, Guardians of Galaxy, Ant-Man , Doctor Strange และรวมไปถึง หนังฟอร์มยักษ์อย่าง The Avengers ที่รวมเอาตัวละครจากทุกเรื่อง เอามาไว้ด้วยกัน

จักรวาลมาร์เวล ถูกเขียนบทเอาไว้อย่างละเอียดรอบคอบ มีการเชื่อมโยงเหตุการณ์ของซูเปอร์ฮีโร่แต่ละคน และมีการใส่ Easter Egg ที่เชื่อมโยง เรื่องนี้กับอีกเรื่อง กลายเป็นภาพใหญ่ ที่เต็มไปด้วยสีสัน และความตื่นเต้น

10) สำหรับมาร์เวล จากบริษัทที่ต้องกู้ยืมเงินจากธนาคารมาสร้างหนัง ผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น พวกเขากลายเป็นบริษัทที่มั่งคั่งร่ำรวย และมีแฟนคลับหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภายใต้บริษัทแม่ คือดิสนีย์

11) ในขณะที่มาร์เวล สตูดิโอ ประสบความสำเร็จด้วยดี ทาง โซนี่ เจ้าของสิทธิภาพยนตร์สไปเดอร์แมน กลับเจอปัญหา นั่นเพราะ 3 ภาคแรกของ โทบี้ แม็คไกวร์ ทำเงินกระจุย แต่พอเปลี่ยนพระเอกเป็น แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (The Amazing Spider-Man ภาค 1 และ ภาค 2 ) ตัวหนังทำเงินน้อยลงกว่าเดิม จากเคยได้เงินเกือบ เรื่องละเกือบพันล้านดอลลาร์ หล่นมาเหลือ เรื่องละไม่ถึง 300 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ

ผู้บริหารของโซนี่ จึงตัดสินใจว่า ควรจะ Reboot สไปเดอร์แมนใหม่อีกรอบ และ เมื่อคิดจะเปลี่ยนทั้งที ก็อยากพัฒนาสไปเดอร์แมน ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมไปเลย ซึ่งมันคงทำให้แฟนๆทั่วโลกตื่นเต้น ถ้าโซนี่อนุญาตให้สไปเดอร์แมนไปร่วมกับจักรวาลมาร์เวลด

12) ต้นปี 2015 ไมเคิล ลินตัน และ เอมี่ ปาสคาล สองผู้บริหารของโซนี่ ได้บินไปคุยกับฝั่ง ดิสนีย์ ถึงความเป็นไปได้ ที่จะให้สองบริษัท จับมือเป็นพันธมิตรกัน โดยจะส่งสไปเดอร์แมน “ให้ยืม” เป็นการชั่วคราว

การที่โซนี่ ยอมเข้ามาเสนอแบบนี้ ทำให้ฝั่งมาร์เวลรู้สึกตื่นเต้นมาก “ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า สไปเดอร์แมน จะเข้ามาสู่จักรวาลของเราได้ ดังนั้นมันจึงเหมือนฝันที่เป็นจริง” เควิน ไฟกี ประธานมาร์เวล สตูดิโอ เผย

นั่นเพราะจุดเริ่มต้นของสไปเดอร์แมน มาจากมาร์เวล ดังนั้นถ้าได้สไปเดอร์แมนกลับมาสู่จักรวาลมาร์เวล มันจะเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์มาก

13) ดิสนีย์ กับ โซนี่ ทำข้อตกลงร่วมกัน ว่า จะให้สไปเดอร์แมน มาร่วมงานกับจักรวาลมาร์เวล ทั้งหมด 3 เรื่อง ประกอบด้วย

– Captain America: Civil War
– Avengers: Infinity War
– Avengers: Endgame

และ ขอให้ตัวละครของมาร์เวล เข้ามาอยู่ในหนังของโซนี่ จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่

– Spider-Man : Homecoming
– Spider-Man : Far From Home

14) สำหรับรายละเอียดของสัญญา ดิสนีย์ จะส่งเควิน ไฟกี ประธานของมาร์เวล สตูดิโอ ไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้สไปเดอร์แมน ทั้ง 2 ภาค และช่วยวางโครงเรื่อง ให้สอดคล้องกับจักรวาลมาร์เวล

เควิน ไฟกี ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ และหนังฮิตทั้งหลายของมาร์เวล ก็มาจากมันสมองของเขาทั้งสิ้น ดังนั้น สำหรับโซนี่ ก็แทบการันตีได้เลยว่า ถ้าไฟกีไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ หนังจะประสบความสำเร็จแน่นอ

นอกจากนั้น จะใช้ทีมสร้างในส่วนอื่นๆจากมาร์เวล สตูดิโอ เพื่อช่วยผลิตสไปเดอร์แมน 2 ภาคนี้ โดยมีโซนี่ เป็นผู้ออกทุนสร้าง

โดยสิ่งที่ดิสนีย์ต้องการจากโซนี่คือ 1) คือเอาสไปเดอร์แมนมาเล่นหนังของมาร์เวล 2) ส่วนแบ่งรายได้ 5% จากยอดขายวันแรกทั่วสหรัฐฯ 3) สามารถใช้สไปเดอร์แมนจากหนังของโซนี่ ใช้ในสวนสนุกดิสนีย์ได้ และ 4) ส่วนแบ่งรายได้ของที่ระลึกทั้งหมดที่เป็นสไปเดอร์แมน

หลังคุยรายละเอียดกัน ทั้ง 2 ฝ่ายพอใจกับข้อเสนอนี้

15) ภาพยนตร์ที่สองฝ่ายจับมือกันทั้ง 5 เรื่องจบลงไปด้วยดี พร้อมทำเงินมหาศาลทุกเรื่อง ทำให้ทั้งสองฝ่าย คือดิสนีย์ และ โซนี่ ต้องกลับมาเปิดโต๊ะเจรจากันอีกครั้ง

รายงานวงในจากเว็บไซต์ Deadline เปิดเผยว่า สำหรับหนังเรื่องสไปเดอร์แมนภาคใหม่ ทางดิสนีย์ ไม่ต้องการ 5% จากวันแรกอีกแล้ว แต่ขอแบ่งรายได้เป็น 50% ของยอดขายทั้งหมดแทน แต่ทุนสร้างทั้งหมดก็ช่วยออก 50-50 ด้วย

โดยมีการวิเคราะห์ว่า ที่ดิสนีย์กล้า ขอปรับข้อเสนอขนาดนี้ เนื่องจาก ความโด่งดังของสไปเดอร์แมน สองภาคหลัง มีปัจจัยสำคัญมาจาก การเข้ามาอยู่ในจักรวาลมาร์เวลทั้งสิ้น

16) ดิสนีย์ ดูจะถือแต้มต่อในการเจรจาครั้งนี้ เพราะ ตอนที่โซนี่เอาไปทำเอง โดยไม่เชื่อมกับจักรวาลมาร์เวล ก็ดูเหมือนสไปเดอร์แมน จะอยู่ในช่วงขาลง ตรงข้ามพอเข้ามาร์เวลปั๊บ สไปเดอร์แมน ดูกลับมาขายดีระเบิดอีกครั้

ถ้าหากโซนี่ ไม่ตอบรับข้อเสนอ ทางดิสนีย์ก็จะดึง เควิน ไฟกี ออกมาจากโปรเจ็กต์สไปเดอร์แมนภาคต่อๆไป นอกจากนั้น ตัวละครทั้งหมด อย่าง Iron Man หรือ นิค ฟิวรี่ ที่ปรากฏตัวในภาคล่าสุด Far From Home ก็จะโดนถอดออกไปด้วย

รวมถึง แฮปปี้ โฮแกน ตัวละครในจักรวาลมาร์เวล ซึ่งกำลังจะปลูกต้นรักกับ ป้าเมย์ ป้าของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ถ้าหากโซนี่ไม่ยอมรับข้อเสนอ ก็จะโดนถอดออกจากเรื่องเช่นกัน

รวมถึงช็อตที่เคยกล่าวถึง Avengers Tower ก็ไม่สามารถเล่าต่อได้อีก ต้องเป็นปริศนาต่อไปแบบนั้น ซึ่งว่ากันตามตรง ถ้าสองฝ่ายดีลกันไม่ได้ จะทำให้เนื้อเรื่องในสไปเดอร์แมน ภาคต่อไป จะเต็มไปด้วยความปั่นป่วนมา

17) อย่างไรก็ตาม ทางโซนี่ไม่ยอม ยืนยันว่า ให้รายได้แก่ดิสนีย์ได้แค่ 5% ตามเดิม สุดท้ายไม่มีใครยอมใคร ดีลของทั้งสองฝ่ายจึงล่มลงไ

ดิสนีย์ จัดการดึงเอาเควิน ไฟกี กลับมา โดยจะไม่มีส่วนร่วมกับสไปเดอร์แมนภาคต่อไปอีก

ในมุมของดิสนีย์เอง มองว่าพวกเขาให้ทรัพยากรทั้งหมดกับโซนี่ เพื่อปั้นให้สไปเดอร์แมน ในยุคทอม ฮอลแลนด์ โด่งดังที่สุด โดยในภาค Far From Home มียอดขายถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติศาสตร์ของโซนี่ พิคเจอร์ส นั่นก็เพราะการช่วยเหลือจากดิสนีย์

แต่ทางโซนี่ ก็มองว่า ข้อเสนอ จากเดิม 95-5 เปลี่ยนเป็น 50-50 มันมากเกินไป และยอมรับไม่ได้ สู้ถอนตัวแล้วออกมาทำเองดีกว่า

18) ในปัจจุบัน โซนี่ เอง ก็ถือว่ามาถูกทางกับซีรีส์สไปเดอร์แมน เพราะ ในหนังเรื่อง Venom และ Into the Spider-Verse ซึ่งเป็นภาคแยก จากภาคหลัก ต่างทำเงินมหาศาลทั้งคู่ โดยเฉพาะเรื่องหลัง ได้รางวัลออสการ์ สาขาอะนิเมชั่นยอดเยี่ยมด้วย ดังนั้น การไม่ได้ร่วมมือกับมาร์เวล ก็ไม่ใช่ว่าโซนี่ จะอับจนหนทาง พวกเขายังสามารถไปต่อได้แน่นอน เพียงแต่ อาจต้องแก้บทกันเยอะพอสมควร

19) ขณะที่ทางดิสนีย์ การเสียสไปเดอร์แมนไป อาจขาดตัวชูโรงในจักรวาลมาร์เวลไปก็จริง แต่ ตัวละครอื่นๆ อย่าง Black Panther หรือ Captain Marvel ก็ยังทำรายได้ระดับพันล้าน นอกจากนั้น ดิสนีย์ยังเพิ่งซื้อ 20th Century Fox มาเป็นบริษัทลูก เท่ากับว่า จะได้ X-Men และ Fantastic 4 กลับคืนสู่อาณาจักรมาร์เวลอีกครั้ง ดังนั้นการเสียสไปเดอร์แมนไปหนึ่งคน อาจไม่ได้ส่งผลอะไรหนักขนาดนั้น

20) สำหรับความเห็นในอินเตอร์เน็ต แฟนๆของฝั่งมาร์เวล ตั้งแฮชแท็ก #boycottsony ขึ้นมา และเรียกร้อง ให้โซนี่ ปล่อยสไปเดอร์แมนกลับคืนสู่มาร์เวลอีกครั้ง

โดยมีการประกาศว่าจะแบนหนังของโซนี่ และ แบนเกมเครื่องเพลย์สเตชั่น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโซนี่ นอกจากนั้นในเว็บ Change.org มีการล่ารายชื่อให้โซนี่ ส่งสไปเดอร์แมนคืนให้มาร์เวล ซึ่งตอนนี้มีคนสนับสนุนแล้ว 5 หมื่นราย

ขณะที่เซเล็บในวงการ อย่างเจเรมี่ เรนเนอร์ ที่รับบทฮอว์กอายส์ ในหนังมาร์เวล ได้ทวิตข้อความว่า “เฮ้ โซนี่ เราต้องการให้คุณส่งสไปเดอร์แมนคืนสู่อ้อมอกของ สแตน ลี และ มาร์เวล ได้โปรดเถอะนะ”

21) ทั้งนี้ แม้ทางดิสนีย์ และ โซนี่ ยังตกลงกันไม่ได้ แต่ก็เชื่อกันว่า มีสิทธิที่จะเปิดโต๊ะการเจรจากันอีกรอบ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ลงตัวที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม ถ้าสุดท้าย สองฝ่ายดีลกันไม่ได้จริงๆ ก็น่าสนใจว่า สไปเดอร์แมน ที่ทำขึ้นเองจากโซนี่ พิคเจอร์ส โดยไม่มีมาร์เวล คอยสนับสนุน จะเปรี้ยงปร้าง ได้เหมือน 2 ภาคที่ผ่านมาหรือเปล่า?

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า