Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

เปิดบทสัมภาษณ์ ‘ท็อป-สุรพงษ์’ ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘ภาพหวาด’ กับการเผยถึงเรื่องราวสยองขวัญและปริศนารอย ‘Cracked’ 

‘CRACKED ภาพหวาด’ ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องล่าสุดจาก CJ MAJOR Entertainment กับเรื่องราวสุดสยองของภาพวาดที่ถูกส่งต่อ และรอยแตกที่เป็นปริศนาที่จะทำให้ชวนหวาดผวาในเรื่องราวครั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถือการร่วมทุนสร้างระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน และไทย โดยได้ ท็อป-สุรพงษ์ เพลินแสง มานั่งแท่นผู้กำกับ อีกทั้งยังได้ นิชคุณ-หรเวชกุล และ แพต-ชญานิษฐ์ มาเป็นนักแสดงนำในเรื่องนี้ ซึ่งเราจะได้เห็นทั้งคู่พลิกบทบาทและคาแรคเตอร์ให้ได้เห็นอีกแง่มุมของการแสดงในครั้งนี้อีกด้วย

ทีม workpointTODAY PLAY ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ ท็อป-สุรพงษ์ เพลินแสง ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘CRACKED ภาพหวาด’ ที่จะพาไปพูดคุยเจาะลึกถึงเรื่องราวอันน่าสยองขวัญในเรื่อง พร้อมเบื้องหลังการคัดเลือกนักแสดงที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอคนที่ตรงคอนเซ็ปต์  อีกทั้งยังเผยถึง จุดที่น่าสนใจในเรื่องนี้ ที่ทำให้ ท็อป-สุรพงษ์ เพลินแสง ที่ไม่เคยกำกับภาพยนตร์มาก่อน ตัดสินใจมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

อะไรคือจุดที่น่าสนใจของภาพหวาด Original screenplay ที่ทำให้เราตัดสินใจนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์

ท็อป-สุรพงษ์: ถ้านับถึงตอนนี้เกือบ 4 ปี ที่บทเรื่องนี้มาถึงเรา จริงๆเป็น Original Screenplay ที่เสร็จแล้วโดยคนเกาหลี ที่มาถึงมือเพราะก่อนหน้านี้เรากับทาง CJ โปรดิวเซอร์ทางเกาหลีรู้จักกันก่อน เขาก็จะส่งบทมาเรื่อยๆ จนมาถึงบทนี้ที่เราอ่านเรารู้สึกสนใจบางอย่างในนั้น คือ 1.เป็นหนังตระกูลที่ชอบเป็นการส่วนตัว ก็คือ หนังสยองขวัญ หนังเขย่าขวัญ 2.เรารู้สึกว่าประเด็นบางอย่างที่อยู่ในบทดั้งเดิมน่าสนใจ พอเราอ่านด้วยตัวเราเองแล้ว รู้สึกว่าอยากจะพัฒนาใหม่ในแบบของเรา คือวันที่ไปเจอกับทาง CJ หลังจากอ่านบทแล้ว ก็ขออนุญาตเขารื้อใหม่ ก็บอกเขาตรงๆ ขออนุญาตรื้อใหม่ได้ไหม เเล้วจะนำกลับมาเสนอ ซึ่งเป็นความใจกว้างของทาง CJ ที่เปิดโอกาสให้ทางครีเอทีฟมากๆ เราจะพัฒนายังไงก็ได้ในแบบของเรา เพื่อให้เป็นตัวของเรามากที่สุด

สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่างานนี้สะกิดใจเราคือ พูดถึงอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสำนวนที่ว่า หน้าอย่างหลังอย่าง เรารู้สึกอยากขยายออกไปในเชิงคุณค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความสัมพันธ์ ครอบครัว เหมือนว่าอะไรต่างๆที่เราให้ค่า คุณงามความดี เราตั้งโชว์กันไว้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี คือสิ่งที่สวยงาม อันนี้คือสิ่งที่บริสุทธิ์ และเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งนั้นมาก เราก็จะรู้เลยว่าลับหลังเป็นยังไง ถึงได้เกิดกรณีความรุนแรงในครอบครัว เกิดกรณีที่คนรักกัน ทำอะไรรุนแรงต่อกันในชนิดที่ทำให้เกิดความสั่นคลอนในคุณค่าของสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ทำกับลูก ลูกทำกับพ่อแม่ พระสงฆ์กับประชาชน ผู้นำรัฐบาลกับประชาชน สุดท้ายแล้วคุณค่าต่างๆที่เราตั้งธงกันไว้ ไม่มีอะไรแน่นอน แล้วเมื่อสิ่งนั้นมาถึง เมื่อเรารู้ความจริงนั้นเมื่อมีตำหนิ เมื่อความชั่วร้าย หรือด้านตรงข้ามของคุณค่าเราได้เปิดเผยออกมา เหมือนรอย cracked

คำถามสำคัญคืออะไรอยู่ใต้รอย cracked อะไรถูกปลดปล่อยออกมาจากรอย cracked รอย cracked สามารถเอาไปทาบได้กับทุกอย่างในเชิงคุณค่า สิ่งใดๆของเรา อันนี้คือสิ่งที่คิดได้จากการอ่านบทของเขา เรารู้สึกว่าเราอยากจะเอาตรงนี้มาพัฒนาในแบบของเรา สร้างตัวละคร สร้างเส้นเรื่องใหม่ เราเล่าเรื่องใหม่ในแบบของเรา และเราทำไปให้ทางโปรดิวเซอร์ของเกาหลีได้อ่าน เขาก็โอเค ไฟเขียวให้ทำ

ภาพ cracked นำมาใช้ในการเล่าเรื่องอย่างไร

ท็อป-สุรพงษ์: รูปภาพเกิดรอย cracked เป็นจุดกำเนิดที่ทำให้ความสยองขวัญ ความลับดำมืดได้เผยตัวออกมา รอย cracked เปรียบเสมือนบางสิ่งบางอย่างในอดีตที่เราพยายามจะลบ หรือพยายามจะแก้ไข คือธรรมชาติมนุษย์ เรามักจะมองหาสิ่งสมบูรณ์แบบในทุกอย่างเสมอ รอย cracked คือตำหนิ บนทุกสิ่งทุกอย่าง บนผิวหน้าเราเราก็คงไม่ชอบริ้วรอยบนหน้า นั่นแหละคือสิ่งที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยง และเราพยายามจะทำให้สมบูรณ์แบบ โดยกลบเกลื่อนรอยพวกนั้นด้วยเครื่องสำอาง

แต่ความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีความรู้สึก อะไรที่เคยทำให้เรารู้สึกมีบาดแผลในใจ ลบยังไงก็ไม่หาย ถ้าบาดแผลนั้นรุนแรงกับเราจริงๆ ยังไงก็ไม่หาย และซักวันจะกลับมาหลอกหลอนเราในรูปแบบไหนก็ได้ อาจจะเป็นตัวเราเองที่หลอกหลอนตัวเอง เหมือนกับสำนวนที่ว่า ดาบนั้นคืนสนอง ส่วนตัวคิดว่าสุดท้ายแล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์มีตำหนิหมดไม่มากก็น้อย ทีนี้เราก็คงจะต้องรับผลที่ตามมาของมัน แต่พอเรื่องแบบนี้มาอยู่ในบริบทของหนังเขย่าขวัญหรือหนังสยองขวัญ ก็จะถูกขยายหรือทำให้ชัด โดยการใช้ความสยองขวัญจากสิ่งลี้ลับต่างๆ จากเงื่อนไข หรือว่าการกระทำของตัวละครที่ถูกต้องในเชิงเขย่าขวัญอารมณ์คนดูเพื่อแรพพรีเซนไอเดียนี้ออกมา

เรื่องราว ภาพหวาด cracked

ท็อป-สุรพงษ์: เป็นเรื่องของรุจา คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับมรดกเป็นภาพวาดจากผู้เป็นพ่อที่เป็นจิตรกร เธอตั้งใจจะขายภาพวาดชิ้นนี้ เพราะว่าเธอต้องการเงินไปรักษาดวงตาของลูกสาวที่ใกล้จะบอด ในกระบวนการจะขายก็จะเกิดการต้องทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น เป็นการตกแต่งภาพ เนื่องจากภาพเก่าแล้ว จังหวะนี้ ทิม ก็คือนิชคุณได้เข้ามารับหน้าที่ในการซ่อมภาพ แต่ประเด็นคือ รอย cracked ที่มาปรากฎขึ้นบนภาพ เหมือนเป็นประตูที่ทำให้ความสยองขวัญ ความรักดำมืด อำนาจบางอย่างที่จองเวรล้างแค้นได้เผยตัวออกมาผ่านรอย cracked  แล้วทำให้ชะตากรรมตัวละครทุกตัวที่เข้าไปเกี่ยวข้องในภาพนั้น เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ความหมายและที่มาของ ภาพหวาด

ท็อป-สุรพงษ์: จริงๆ ภาพหวาดเป็นไอเดียของพี่เจี๊ยด ที่เป็นหัวหน้าทีมมาร์เก็ตติ้งของภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเสนอขึ้นมาท่ามกลางหลายๆ ชื่อ เรารู้สึกว่าชื่อนี้ตรงที่สุด เพราะสามารถสื่อสารอารมณ์ได้ทันทีโดยที่คำสั้นมาก จริงๆ คำว่าภาพหวาดล้อเลียนมาจากคำว่าภาพวาด แต่พอกลายเป็นภาพหวาดสามารถสะท้อนถึงอารมณ์ของหนังในเชิงสยองขวัญ เขย่าขวัญได้ทันที แล้วเรารู้สึกว่าเมื่อได้ยิน ทำให้รู้สึกติดหู จำง่าย แล้วก็สื่อสารอารมณ์ได้ง่าย เลยรู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะกับการจะตั้งเป็นชื่อหนัง

ความสำคัญของ ‘ภาพหวาด’ ที่ถูกเล่าจาก ‘ภาพวาด’

ท็อป-สุรพงษ์: จริงๆ ภาพในเรื่องมีแค่ 2 ภาพ เป็นภาพที่วาดโดยพ่อของรุจา เป็นภาพPortrait  คือใน Trailer จะมีเขียนว่า ชื่อภาพ Portrait of a Beauty เป็นหมายเลข1 และ หมายเลข2 Portrait of a Beauty ก็คือภาพเหมือนของความสวยงาม จะคล้ายๆ ความตรงข้ามของหนัง คือเรากำลังพูดถึงภาพเหมือนของความสวยงาม แต่จริงๆ หนังกำลังไปในด้านตรงข้ามก็คือความอัปลักษณ์ ความสยดสยอง จะเป็นการเล่นกับความตรงข้าม จริงๆ ก็เป็นหัวใจหลักของการดำเนินเรื่องและตัวละครก็จะถูกรวมอยู่ในภาพนี้

ส่วนไอเดียการทำภาพวาดในแบบของเราในการดำเนินเรื่อง ตอนนั้นเรากับพี่คนเขียนบทคนแรกก็คือ พี่เอกสิทธิ์ เราก็ลองมาอ่านบทดั้งเดิมของเกาหลี แล้วก็มองว่าเราเห็นอะไรในนั้น เรามองเห็นอะไรบางอย่าง บางอย่างในนั้นที่เราเห็นตรงกันว่า หน้าอย่างหลังอย่าง แล้วเผอิญว่าช่วงนั้นเราค้นหาข้อมูล ก็ไปเจอว่ามีเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโลกศิลปะ ศิลปินดังๆ ของโลกนี้หลายคนในยุคหลายร้อยปีหรือหลายสิบปี ยกตัวอย่างเช่น ปิกัสโซ่  ปิกัสโซ่เขาวาดรูปอยู่รูปนึง ชื่อ The Old Guitarist ภาพจริงๆ คือภาพคนแก่เล่นกีต้าร์ แต่เวลาผ่านไป สถาบันศิลปะเขาเอาไปเอกซเรย์ พบว่าใต้ภาพนั้นมีภาพอีกภาพนึงอยู่ เป็นภาพผู้หญิงกำลังเลี้ยงเด็ก แล้วก็เกิดกรณีนี้กับศิลปินชื่อดังหลายๆ คนเหมือนกัน

เหตุผลก็คือว่าในยุคสมัยนั้น ภาพบางภาพถูกวาดในช่วงที่ศิลปินคนนั้นเขาค่อนข้างจะยากจน เขาไม่มีเงิน ฉะนั้นการจะซื้อผ้าใบผืนใหม่มาวาดเป็นอะไรที่แพงมาก วิธีการของศิลปินยุคนั้นในช่วงที่ยังยากจนคือ เอาภาพวาดบางภาพที่เขารู้สึกว่าไม่ได้ชื่นชมนัก นำมาลงสีทับแล้ววาดภาพใหม่ทับลงไป อันนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในหลายๆ เคสในโลกศิลปะ เรารู้สึกว่าไอเดียนี้แมตกับสิ่งที่เราจะพัฒนา ก็เลยมาแชร์กับพี่เอกสิทธิ์ว่าเรามีไอเดียประมาณนี้ เรามาทำเรื่องพวกนี้ให้โยงเข้าสู่ในสิ่งที่เราอยากจะนำเสนอดีกว่า

‘ภาพหวาด’ การร่วมทุนสร้างของ 4 ประเทศ ไทย เกาหลี สิงคโปร์และไต้หวัน

ท็อป-สุรพงษ์: จริงๆ เป็นเรื่องปกติของการทำภาพยนตร์ คือหมายความว่าสตูดิโอผู้สร้างบางครั้งเขาจะไม่ได้ลงทุนด้วยตัวคนเดียว เขาก็จะไปชวนพาร์ทเนอร์ในหลายๆประเทศ หรือในหลายๆบริษัทมารวมกัน เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปดูหนัง หรือ หนัง Hollywood ทุกวันนี้ บางทีเราอาจจะเจอเครดิตบริษัทสร้างขึ้นก่อนหนังฉายประมาณ 3-4 บริษัท เป็นหลักการทำธุรกิจในวงการภาพยนตร์ ลงทุนจากผู้ที่สนใจจากค่ายหนังหรือว่านักลงทุนต่างประเทศที่สนใจโปรเจกต์นี้ เอาเงินมารวมกันเพื่อสร้าง ส่วนจะไปฉายที่ไหนบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มผู้ลงทุนนี้เขาเห็นโอกาสในประเทศไหน แน่นอนต้องไปฉายที่ประเทศของนักลงทุนนั้น ส่วนจะไปที่ไหนต่อไหม ก็คงต้องดูสถานการณ์ ดูอะไรหลายๆ อย่าง

การร่วมทุนสร้างทั้ง 4 ประเทศ อะไรคือความเชื่อแต่ละประเทศที่มีร่วมกันที่ทำให้เรื่องนี้มันดูลึกลับหรือน่ากลัว  

ท็อป-สุรพงษ์: ไอเดียเรื่องอำนาจลึกลับ หรือผีเข้าไปสิงสู่อยู่ในวัตถุ เป็นสากล สากลในที่นี้คือ ทั้งโลกมีเรื่องพวกนี้หมด โลกตะวันตก โลกตะวันออกมีหมด ฉะนั้นหมายความว่าความเชื่อชุดนี้ถูกหล่อหลอมโดยการเติบโตของเรา ถูกหล่อหลอมโดยสัญชาตญาณมนุษย์ที่บางครั้งเราเห็นของบางอย่างที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ เลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราไม่เข้าใจนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกกลัว เป็นสิ่งที่เราหวาดผวา เลยเป็นที่มาของรูปเคารพ เป็นตำนานความเชื่อ เทพเจ้าต่างๆ ฉะนั้นไอเดียนี้เป็นสากล ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามพูดขึ้นมาก็เข้าใจหมด

การปรับเปลี่ยนจาก original screenplay ให้เหมาะกับความน่ากลัวแบบไทย

ท็อป-สุรพงษ์: จริงๆไม่ได้นึกถึงความเหมาะกับความน่ากลัวแบบไทย คือเราสนใจไอเดียที่เป็นสากล เราไม่ได้คิดว่าจะต้องเอาความเป็นไทยไปครอบ คือคำนิยามความเป็นไทยเป็นอะไรที่ยากมากในมุมของเรา รู้สึกว่าซับซ้อนเกินไป หรือมีความพยายามจนล้นเกิน ยกตัวอย่าง ถ้าพูดถึงความเป็นไทย คงนึกถึงผีชฎา หรือผีชุดไทย เรารู้สึกว่าก็เป็นอย่างนั้นได้ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ถูกตั้งต้นจากความเป็นไทย เรื่องนี้ถูกตั้งต้นจาก วัตถุชิ้นหนึ่ง ที่มีความลึกลับบางอย่าง แล้วเกี่ยวพันกับชะตากรรมตัวละครรอบๆ เราทำไอเดียนี้ให้ดีในแบบที่ควรจะเป็น เราไม่จำเป็นต้องเอาชฎาไปครอบ ไม่จำเป็นจะต้องมีเพลงไทย เราไม่ต้องพยายามอะไรจนล้นเกิน ถ้าไม่ใช่ทาง เรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญ หนังเขย่าขวัญสากล ที่ไม่ว่าคนชาติไหนก็สามารถเข้าใจได้หมด

การผสมผสานที่ลงตัวของนักแสดง นิชคุณ-แพต-นีน่า

ท็อป-สุรพงษ์: ไอเดียที่เรามีความคิดเกี่ยวกับนักแสดงตั้งแต่แรกคือ อยากได้นักแสดงที่ไม่เคยเล่นหนังสยองขวัญมาก่อน เราไม่อยากได้นักแสดงที่มีภาพจำ หรือมีความช่ำชองในการเล่นหนังเขย่าขวัญ หนังสยองขวัญเลย เราไม่อยากให้คนดูติดกับภาพจำตัวละครนั้นมาที่หนังเรา เราพยายามจะหานักแสดงไทยที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะตัว มีคาริสม่าบางอย่างที่น่าสนใจ แล้วไม่เคยเห็นในหนังสยองขวัญ ทำให้เราตัดช้อยส์ไปเยอะมาก เพราะมองไปก็จะค้นพบว่าคนนั้นเคยเล่นอย่างนั้นมาแล้ว คนนั้นดังจากเรื่องนี้มาแล้ว เหมือนเขาแบกอะไรที่เป็น Represented (แรพพรีเซน) เขามาที่หนังเรา

เผอิญตอนนั้นได้ดูหนังของปราบดาหยุ่นที่แพตไปเล่น และเรารู้สึกว่านักแสดงคนนี้น่าสนใจ ประกอบกับเห็นผลงานอื่นๆ ที่เขาเล่นนาดาว ส่วนตัวไม่เคยเจอแพตมาก่อน พึ่งมาเห็นจากงานเขา แล้วรู้สึกว่าอยากลองคนนี้ เราขอแคสคนนี้ แม้ว่าแพตเองด้วยอายุและวัยอาจจะเด็กกว่าที่เราคาดไว้ในตามบท แต่เรารู้สึกว่าอยากจะลองนักแสดงที่สามารถชาเลนจ์ตัวเอง หรือท้าทายตัวเองในการปรับตัวเองเข้าหาบท คือประเทศเราเป็นอะไรที่มีความเชื่อแปลกๆ อยู่อย่างนึงว่า ถ้านักแสดงยังสาว แล้วไปเล่นบทแม่แล้วมีลูก เขาจะสูญเสียความเป็นดาราสาวไป คือตอนแพตมาเล่นตอนนั้นอายุประมาณ20กว่าๆ เขาสามารถเล่นเป็นสาวมหาลัยได้ คือมีความเชื่อพวกนี้ที่ล็อกดาราอยู่จำนวนนึง แต่แพตเป็นคนที่บอกว่าอ่านแล้วรู้ว่าต้องเป็นบทอะไร และอยากเล่นมาก เพราะเเพตเชื่อว่าบทนี้จะเป็นการท้าทายความสามารถของเขาในการที่จูนเข้าหาตัวละคร ทั้งในเชิงกายภาพ เชิงสเตตัส หรือแม้กระทั้งรูปแบบการแสดงที่แพตไม่เคยเล่นมาก่อน จริงๆเราแคสหลายคน แต่สุดท้ายแพตก็โดดเด่นที่สุด แล้วแพตก็เหมาะที่สุด

ส่วนนิชคุณ จริงๆ ก่อนจะเป็นนิชคุณ เราหานักแสดงชายในไทยเยอะมาก แต่ไม่เจอคนที่เรามองแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ น่าสนใจในที่นี้คือไม่ใช่ว่าเขาจะเล่นหนังสยองขวัญได้ น่าสนใจในที่นี้ของเราคือเรามองว่าถ้าเขาเล่นเป็นตัวละครตัวนี้เขาจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นเราได้ดูหนัง รัก7ปีดี7หน ที่นิชคุณเล่นกับคุณสู่ขวัญ เรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจ เรามองหน้านิชคุณแล้วรู้สึกหรือจะเป็นคนนี้ เลยลองให้ทางเกาหลีติดต่อไป ปรากฎว่าเขาอ่านบทแล้วเขาสนใจมาก เหมือนเป็นโชคชะตานิดๆเหมือนกัน เขาเองก็กำลังมองหาบทที่ชาเลนจ์ตัวเอง เพราะจากผลงานนิชคุณที่ผ่านมาทั้งหมดจะเป็น น่ารัก สดใส และนิชคุณอยากลองอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาอยากพิสูจน์ตัวเองกับบทที่มันไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ภาพจำคนทั่วไปที่เห็นเขา ก็เลยเป็นนิชคุณได้อยู่ในโปรเจกต์นี้

ส่วนน้องนีน่าเป็นการแคส แคสเด็กจำนวนมหาศาลในประเทศนี้ เพราะว่าโจทย์คือ ต้องเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ คือยากมากในการที่จะเอาเด็กอายุขนาดนั้นแล้วต้องเล่นหนังสยองขวัญได้ เล่นได้ในที่นี้คือต้องเล่นแล้วเรารู้สึกเชื่อนะว่าเขากำลังเผชิญกับความกลัว เขาต้องมีปัญหา เขาต้องเข้ากับนักแสดงที่เป็นผู้ใหญ่ ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เจอคนที่เหมาะจริงๆ จนกระทั่งเจอน้องนีน่าที่มาเเคส พอเราได้ดูเทปแคส คือถ้าใช่ก็คือใช่ทันที เทปแคสจะบอกเราทุกอย่างเลยว่าคนๆนี้คือคนที่ใช่ เพราะว่าท่ามกลางนักแสดงเด็กร่วม 60 ถึง 70คน มีเขาคนเดียวที่ทำให้เราเชื่อ เป็นความอะเมซิ่งที่เราแบบว่า เด็ก 5 ขวบหรอ ไม่มีใครไปกำกับ ไม่มีใครไปคอยกระซิบอะไร แต่น้องเล่นได้ขนาดนี้ นี่เป็นพรสวรรค์ของเด็กคนนึงที่เกิดมามีความสามารถด้านการแสดง ก็เลยโชคดีที่ได้น้องเข้ามา

นิชคุณ กับบทบาทใหม่ ที่ฉีกกฎภาพเดิมๆ

ท็อป-สุรพงษ์: เราต้องเปลี่ยนลุคเขาใหม่ในเชิงกายภาพ เราต้องเปลี่ยนให้เขาไม่ใช่นิชคุณคนเดิม เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพที่ไม่ได้ยาก ในฐานะคนทำงานภาพยนตร์ แต่สิ่งที่ยากจริงๆคือ การทำการบ้านในฐานะนักแสดงที่ไม่เคยรับบทอะไรที่มีความซับซ้อนและเรียกร้องความทุ่มเท และจะต้องจูนเข้าหาตัวละครให้มากขนาดนี้มาก่อน ส่วนนี้เป็นส่วนที่นิชคุณก็ทำการบ้านอย่างหนัก และเราก็เชื่อว่าเมื่อคนดูได้เห็นนิชคุณแสดง จะเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมเขาถึงเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ และสิ่งที่เขาได้พิสูจน์ตัวเองกับบทบาทที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง เป็นยังไง

ความท้าทายของ ท็อป-สุรพงษ์’ กับการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก

ท็อป-สุรพงษ์: การที่เราจะได้กำกับภาพยนตร์ไทยสักเรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องอาศัยหลายๆ อย่างทั้ง จังหวะ เวลา และความสามารถ เราโชคดีที่ได้รู้จักทาง CJ ทางเกาหลี ทำให้เราได้มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่การได้ทำหนังสักเรื่องสนุกไหม คือคนจะเข้าใจว่าเวลาทำหนัง เวลาออกสื่อไป เวลาตัดออกไปสั้นๆ ก็จะดูมีอะไรให้ทำสนุกสนานไปหมด ได้เจอดารา ได้เจอเอฟเฟค ได้อยู่กับโปรดักชั่น แต่ในความเป็นจริงในโลกของการทำงานจริงๆ การออกกองไม่ใช่เรื่องสนุก การทำงานจริงๆ ไม่ได้มีเพียงความสนุกอย่างเดียว

คือเราไม่ได้ออกไปทำเรื่องสนุก เรากำลังจะออกไปสร้างภาพยนตร์ เรากำลังขนคนจำนวน 50-60 หรือถึง100คน เข้างานงานนึง เข้าไปสร้างซีนซีนนึงในเวลาจำกัด ด้วยทรัพยากรจำกัด ด้วยปัจจัยทางธรรมชาติใดๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ ฉะนั้นการทำภาพยนตร์สำหรับเราก็เหมือนการออกรบ เป็นศาสตร์อย่างนึงว่าการสร้างภาพยนตร์ก็เหมือนเราต้องเตรียมตัวสอบ เราจะต้องเตรียมตัวออกไปเพื่อเผชิญกับความตึงเครียดอะไรบางอย่าง ต้องหาทางทำให้งานออกมาดีให้ได้ แต่เผอิญว่าเรามีอาชีพเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา ฉะนั้นเรื่องรูทีนประจำวันของการถ่ายหนัง การออกกองไม่ได้เป็นอะไรใหม่สำหรับเรา เพียงแต่ว่าเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว แค่ยาวขึ้น แต่โดยพื้นฐานแล้วทักษะประสบการณ์ที่เราได้จากการทำงานโฆษณา ทำให้เราทำงานตรงนี้ได้

ความแตกต่างระหว่าง การกำกับโฆษณา และ การกำกับภาพยนตร์

ท็อป-สุรพงษ์: อันดับแรก โฆษณาเป็นการทำภาพยนตร์ขนาดสั้น มีทั้ง 6วินาที 15วินาที 30วินาที 60วินาที หรือแม้กระทั่ง 5 นาที โดยโฆษณาใช้เงินมากกว่าภาพยนตร์ เพราะว่าถูกผลิตเพื่อที่จะขายของ ขายของชิ้นนึงต้องมั่นใจว่าของชิ้นนั้นจะดูน่าสนใจ ฉะนั้นลูกค้าก็จะทุ่มเงินให้กับการผลิตสูงมาก แต่เวลาเราถ่ายโฆษณา ฉากคุยกันในซีนเราหวังผลแค่ 1วิ ถึง 2วิ เป็นเรื่องปกติและเราก็สามารถทำให้ดีได้ถึง1วิ 2วิ แต่ภาพยนตร์ ซีนๆ นึงบางทีนักแสดงคุยกัน5นาที บวกกับมีเอฟเฟค มีอะไรต่างๆ ก็จะเป็นความซับซ้อนด้านโปรดักชั่น

ขนาดเดียวกันเราจะต้องโฟกัสกับนักแสดงเป็นหลัก หัวใจหลักของภาพยนตร์ที่ต่างออกไปจากโฆษณาคือ เราต้องอยู่กับคาแรคเตอร์ตัวละครและนักแสดง เพราะว่านักแสดงคือคนที่จะพาให้คนดูอยู่กับหนังตลอด ไม่ใช่โปรดักชั่นที่สวยงาม ไม่ใช่ความตื่นตาของ CG เราเชื่อว่าคนดูจะชอบหนัง สนุกกับหนังเรื่องนั้น เขาตามตัวละคร เขาตามคาแรคเตอร์ เขาเชื่อว่าคาแรคเตอร์รู้สึกแบบนั้น กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งแบบนั้น เอาใจช่วยคาแรคเตอร์ ตรงส่วนนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับตัวเราเหมือนกัน เพียงแต่ว่าด้วยประสบการณ์การทำโฆษณา การทำหนังสั้นของเรามา เราก็ใช้ตรงนั้นเป็นพื้นฐานในการต่อยอดผลงานชิ้นนี้

‘ท็อป-สุรพงษ์’ กับความชื่นชอบภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ

ท็อป-สุรพงษ์: จริงๆดูได้ทุกอย่าง คือหมายความว่าเราไม่ได้ยุติว่าเราต้องดูหนังประเภทอะไรอย่างเดียว หนังตลก เบาสมองเราก็ชอบ รายการโปรดคือ ฮาไม่จำกัด กับ ก็มาดิคร้าบ หรือช่องแม่เบนล้างตู้เย็น คือในฐานะที่คุณเป็นมนุษย์สามารถชอบหลายอย่างได้ เพียงแต่ว่าทำไมเราถึงมาทำหนังสยองขวัญ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าความชอบเราจะหลากหลายแค่ไหน เรามักจะเจอสิ่งๆนึงที่เรารู้สึกปักใจเป็นพิเศษ เรามีความหมกมุ่นกับสิ่งนี้เป็นพิเศษ เราให้ค่ามากเป็นพิเศษก็เท่านั้นเอง

ในอนาคตมีแพลนอยากจะสร้างภาพยนตร์เรื่องต่อไป

ท็อป-สุรพงษ์: ในฐานะคนทำหนังไทยทุกคน เรามักจะมีความหวังว่าจะได้มีโปรเจกต์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย การสร้างภาพยนตร์เรื่องนึงเป็นอะไรที่ยาก การสร้างภาพยนตร์ก็คือธุรกิจ ฉะนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิดขึ้น บางเรื่องโดนสั่งยกเลิกกลางโปรดักชั่น เช่น วันพรุ่งนี้จะออกกองอยู่แล้วแต่สุดท้ายก็โดนยกเลิก อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในวงการภาพยนตร์ เพียงแต่ว่าถ้าเรามีโอกาสจะสร้างภาพยนตร์ต่อเนื่อง หรือจะมีโปรเจกต์ต่อไปข้างหน้า ควรจะเป็นโปรเจกต์ที่เราหมกมุ่นกับสิ่งนั้นจริงๆ ควรเป็นโปรเจกต์ที่เราอะไรบางอย่างตรงนั้น เพราะว่าการทำภาพยนตร์เรื่องนึงจะสูบเวลา สูบพลังในชีวิตเราไปอย่างน้อย 2ปี สิ่งๆ นั้นต้องคุ้มค่ากับทรัพยากรต่างๆในร่างกาย เวลา และทุกอย่างที่เราจะทุ่มเทให้ ไม่ว่าใครก็ตามได้สร้างภาพยนตร์สักเรื่อง เราคิดว่าควรถูกสร้างด้วยความรู้สึกที่ว่าเราต้องอินกับสิ่งนั้น

เบื้องหลังการถ่ายทำได้เจอประสบการณ์เหนือธรรมชาติ ในกองถ่ายบ้างไหม

ท็อป-สุรพงษ์: คนทั่วไปมักจะคิดว่าถ่ายหนังผี หนังสยองขวัญ จะต้องมีเรื่องอย่างนี้ในกองถ่าย กองอื่นเราไม่รู้ แต่จากประสบการณ์กองเราไม่มี มีแต่ประสบการณ์ธรรมชาติ ประสบการณ์เหนือธรรมชาติไม่มี แต่ประสบการณ์ธรรมชาติเพียบ เช่น ถ่ายอยู่ฝนตก น้ำขึ้น น้ำป่าขึ้นกำลังจะท่วมกอง ต้องขนอุปกรณ์ทุกอย่างหนีน้ำ ฝนตกต้องรอฝนหยุด ถ่ายไม่ได้เพราะอัดเสียงไม่ได้ เรียกว่าเป็นประสบการณ์ธรรมชาติโหดกว่าประสบการณ์เหนือธรรมชาติ อะไรที่ธรรมชาติให้เรามาแล้วเราควบคุมไม่ได้ โหดจริงๆ และก็เป็นอะไรที่หลอกหลอนพอๆ กับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ

วงการภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน

ท็อป-สุรพงษ์: เรามีความเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ที่พยายามทำหนังกันอยู่ทุกวันนี้ เท่าที่เรารู้จัก เราเห็นสิ่งที่เขาพยายามจะสร้างภาพยนตร์ขึ้นมา และเราก็เชื่อว่าคงไปได้ ก็คงต้องไปต่ออย่างนี้แหละ ตราบใดที่ยังมีคนรู้สึกว่าภาพยนตร์เป็นศิลปะที่สำคัญและคุ้มค่าพอที่เราจะสร้างขึ้นมา แต่เราจะเป็นได้อย่างเกาหลีไหม คือไม่ง่ายดายแบบนั้น การที่เบื้องหลังภาพยนตร์เกาหลีประสบความสำเร็จ มีปัจจัยเยอะพอสมควรที่พร้อมจะซัพพอร์ตและอาศัยระยะเวลานานกว่าเขาจะเดินมาถึงจุดนี้ รวม 10 ถึง 30 ปี คือต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในเชิงรูปธรรม ต้องได้รับการสนับสนุนทั้งเอกชน ทั้งคนดู ทุกอย่าง เราจะไปหวังแค่ใครคนนึงดึงขึ้นมาไม่ได้

ถ้าเรายกตัวอย่างเกาหลีเป็นโมเดล เราก็ต้องดูว่าเขามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง เราไม่สามารถดูแค่หนังหนึ่งเรื่องแล้วเรารู้สึกว่าเราก็เป็นอย่างเกาหลีได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ภาพยนตร์เป็นศิลปะที่มีความเป็นธุรกิจ แล้วเกี่ยวโยงกับเศรษฐศาสตร์ชาติ และเขาพิสูจน์แล้วว่าถ้าเรารักษาให้เป็นสินค้าในเชิงเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ แล้วมีความเป็นศิลปะที่ขายได้จริง ทุกคนพร้อมจะทำให้เกิดขึ้น เราก็เป็นแบบเกาหลีได้ เพียงแต่ ณ วันนี้เราอาจจะยังไม่พร้อมหรืออะไรก็ตาม แต่คนในวงการเท่าที่เรารู้จัก ทุกคนก็ยังมีความหวังแบบนั้นอยู่ ทุกคนพยายามจะต่อสู้ในเวย์ของตัวเอง พยายามจะสร้างงานที่ทำให้คนดูคนไทยเห็นว่าคนทำหนังไทยทุกคนพยายามจริงๆ พยายามทำสิ่งใหม่ พยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เราก็หวังว่าวันนึงภาพยนตร์ไทยก็จะไปได้แบบเกาหลี แม้อาจจะฟังดูโรแมนติก แต่เราก็คิดว่าบางครั้งชีวิตก็ต้องการความโรแมนติก เวลาเราเจ็บปวดมากๆ เราก็จะต้องการความโรแมนติกครับ

ฝากภาพยนตร์ ‘CRACKED ภาพหวาด

ท็อป-สุรพงษ์: ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกเลื่อนมา 2 ปีแล้ว ด้วยสถานการณ์โควิด ถือว่าได้พลาดโอกาสสำคัญอะไรหลายๆอย่างไป แต่เรามองว่า ณ วันนี้ ความสูญเสียที่เคยคิดว่าทำร้ายเรา กลายเป็นว่ากลับสร้างโอกาสพิเศษให้เราอีกอย่าง เป็นโอกาสพิเศษที่ทำให้เราที่อยู่กับความหวาดกลัว มีความกดดันอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นมาตลอดนั้น ได้ออกไปปลดปล่อยความกลัว ความเครียด ความกดดันที่สะสมอยู่ในใจ หนังสยองขวัญมีเสน่ห์ตรงที่ว่า อนุญาตให้คุณกรีดร้องดังเท่าไหร่ก็ได้ อนุญาตให้คุณกรีดร้องดังแค่ไหนก็ได้ อนุญาตให้คุณสบดคำหยาบเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีใครว่า นั่นเป็นรีแอคชั่นที่คนในโรงชื่นชมในผลงานชิ้นนี้ เป็นการแชร์ประสบการณ์ร่วมกันของหนังสยองขวัญ ในทางจิตวิทยาคือ การได้ออกไประบายความเครียด ได้เป็นการปลดปล่อย และ

สุดท้ายแล้วเมื่อภาพยนตร์จบลง เมื่อเราได้ระบายความเครียดต่างๆ ความกลัวต่างๆ ผ่านความน่ากลัวที่เราเห็นบนจอ เราถ่ายเทความกลัวเราออกไปผ่านเรื่องราวต่างๆที่น่ากลัวบนจอ เมื่อหนังจบ เราก็จะพบว่าเราก็ยังมีชีวิตปลอดภัยดี เราไม่ได้โดนผีหักคอ หรือฆ่าเราไป จิตใต้สำนึกเราจะทำงานในเชิงที่สร้างความเข้มแข็งให้เรามากขึ้น

ขณะเดียวกันก็เป็นเดือนเเห่งความรัก เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ออกไปอยู่กับคนที่เรารัก อยู่กับเพื่อนเรา หรือต่อให้เราไปคนเดียวเราก็มีโอกาสได้อยู่กับคนแปลกหน้าจำนวนมหาศาลในโรงภาพยนตร์ ได้แชร์ความรู้สึกร่วมกัน เป็นโมเมนต์ที่เกิดขึ้นได้เฉพาะในโรงภาพยนตร์ นี่ก็คือ Magic of Cinema เราเลยคิดว่า เป็นโมเมนต์ที่ดีนะที่เราได้เข้าโรงไปแล้วเราได้ปลดปล่อยความเครียด ได้ออกไปกรีดร้องโดยไม่ต้องแคร์ใคร อะไรก็ได้ เพื่อทำให้เรารู้สึกสบายใจ ทำให้เรารู้สึกโอเค และสามารถต่อสู้กับความกลัวใดๆได้อีกต่อไปในชีวิต แล้วหนังเราก็รับประกันได้ว่าจะมีความสยดสยองรออยู่ เขย่าขวัญเต็มที่ ก็หวังว่าจะได้เจอกันในโรงภาพยนตร์ครับ

ร่วมไขปริศนากับรอย cracked ที่มาปรากฏขึ้นบนภาพวาด พร้อมกับความจริงของภาพวาดอาถรรพ์ ที่จะทำให้ทุกสยองขวัญ ไปพร้อมกับ นิชคุณ, แพต และ นีน่า ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า