พูดเรื่อง “สิวฮอร์โมน” หลายๆ คนอาจจะนึกถึงภาพของเด็กสาวเด็กชายวัย 14-15 แต่ความจริงคือแม้ว่าจะอายุปาเข้าไปเลข 2 เลข 3 หรือเลข 4 แล้วก็ยังมีปัญหาสิวฮอร์โมนได้เสมอ เหตุผลก็เพราะว่าฮอร์โมนคือสารที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเราตลอดเวลาหรืออาจเรียกได้ว่าตลอดชีวิตก็ไม่ผิด เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะมากจะน้อย จะไหลมาไหลไปเมื่อไหร่ รวมถึงว่าฮอร์โมนตัวไหน (เทสโทสเทอโรน, เอสโทรเจน และโปรเจสเทอโรน) ที่กำลังพีคสุดในช่วงนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
สำหรับผู้หญิงเรื่องของฮอร์โมนนี่สวิงกันได้กันเป็นรายวันเลยทีเดียว เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตามวัฏจักรของการตกไข่แบบที่หนุ่มๆ ชอบแซวแบบแอบแขวะว่า “มนุษย์เมนส์” นั่นล่ะ นั่นเพราะประจำเดือนคือตัวบ่งชี้ที่สำคัญถึงระดับฮอร์โมนในแต่ละช่วง ขนาดที่ว่าผ่านไปแค่หนึ่งสัปดาห์ ลำพังแค่ฮอร์โมนก็ทำให้รูปร่าง น้ำเสียง ผิวพรรณของผู้หญิงเราเปลี่ยนไปได้อย่างมหาศาล ไม่เพียงเท่านั้น พฤติกรรมบางอย่างเช่น ความเครียด (ฮอร์โมนคอร์ติซอล) การนอนหลับพักผ่อน อาหารที่เรากิน ยาคุมกำเนิด ภาวะตั้งครรภ์หรือหมดประจำเดือน ล้วนแต่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เมื่อผิวมันขึ้นก็มีแนวโน้มการเกิดสิวได้มากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเจอสิ่งสกปรก ทำให้รูขุมขนอุดตัน
จะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือ “สิวฮอร์โมน?”
ก็ในเมื่อสิวมันก็ขึ้นเป็นเม็ดๆ หน้าตากวนใจพอๆ กัน การจะแยกแยะว่าสิวฮอร์โมนมีลักษณะแบบไหนนั้นอาจจะยาก แต่แท้จริงแล้ว ปัจจัยที่ชี้วัดว่าเกิดจากฮอร์โมนนั้นอยู่ที่บริเวณที่เกิดสิวต่างหาก
หากว่าเคยเห็นภาพ Face Map กันมาบ้างก็คงพอจะทราบว่าสิวที่ขึ้นในบริเวณต่างๆ บนใบหน้าสามารถบ่งบอกถึงภาวะทางสุขภาพและอวัยวะภายในได้ (เช่น สิวที่ขึ้นข้างแก้มมักเกิดจากปอดหรือสภาพอากาศที่ไม่สะอาด เป็นต้น) และสิวมักเลือกที่จะบอกเราเป็นนัยๆ ถึงภาวะฮอร์โมนที่ไม่สมดุลด้วยการโผล่มาทักทายบริเวณกรามและคางซึ่งเป็นบริเวณที่มีซีบัมเยอะเป็นพิเศษนั่นเอง!
วิธีการรักษาสิวฮอร์โมน
เช่นเดียวกันกับระดับฮอร์โมนที่มีขึ้นมีลงเป็นปกติตามรอบวัฏจักร แต่ก็ใช่ว่าควรนิ่งนอนใจไม่ต้องทำอะไรรอให้สิวแห้งและหายไปเองหรอกนะ เพราะเราสามารถเร่งกระบวนการการรักษาตัวของสิวได้ด้วยการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกด้วยผลิตภัณฑ์ต่อต้านแบคทีเรียวันละสองครั้ง ตามด้วยการใช้โทนเนอร์เช็ดผิว และมอยส์เจอร์เนื้อบางเบาที่ปราศจากความมัน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล (วิตามินเอ) ซึ่งไม่เพียงแต่มีส่วนช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่คั่งค้างสะสมอยู่บนผิวจนทำให้เกิดการอุดตันแล้ว ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและจดด่างดำต่างๆ ไปด้วยในตัว
สำหรับรายที่ค้นพบว่าสิวฮอร์โมนเหล่านี้ดูจะกวนใจบ่อยๆ เข้าจนแทบไม่สัมพันธุ์ใดๆ กับรอบประจำเดือนอย่างที่เคย ประกอบกับอาการข้างเคียง เช่น ผมร่วง เหนื่อยง่าย ฯลฯ ก็เป็นได้ว่าอาจมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนไม่สมดุล ในกรณีนั้นแพทย์ผิวหนังไม่สามารถช่วยเราได้ แต่ต้องพบแพทย์อายุรกรรมที่ดูแลเรื่องสุขภาพโดยตรงพร้อมกับรับประทานอาหารเสริมจำพวก Anti-androgen เพื่อลดระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนลง
สรุป
สำคัญคืออย่าลืมว่าฮอร์โมนไม่ใช่แค่เรื่องของประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือแม้แต่วัยหมดประจำเดือนเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความเครียดก็ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดหรือคอร์ติซอลออกมา และส่งผลต่อผิวของเราด้วยเช่นกัน ดังนั้นวิธีการดูแลผิวที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราโดยรวมไปด้วยนั่นเอง นั่นล่ะคือวิธีรักษาที่ยั่งยืนที่สุด ตรงจุดที่สุด ปลอดภัยที่สุด และประหยัดที่สุด ยกเว้นเสียแต่กรณีที่เริ่มมีอาการอื่นควบคู่และฮอร์โมนมีความแปรปรวนหนักมาก อาจต้องพบแพทย์และพึ่งพาอาหารเสริมภายใต้การดูแลของแพทย์