Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

‘Sanrio’ สตูดิโอเบื้องหลัง Hello Kitty กำลังโบกมือลาความล้าหลังในโลกดิจิทัลของตัวเอง เดินหน้าเข้าสู่ NFT และ Metaverse หวังชิงชัย ‘ดิสนีย์’

ยิ่งนับวัน ใครไม่ปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลและเทคโนโลยี ก็เหมือนจะยิ่งอยู่ยากมากขึ้นเรื่อยๆ

รวมไปถึงบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่เบื้องหลังตัวการ์ตูนดังมากมายอย่าง Sanrio (ซานริโอ) ที่ได้รับความสนใจน้อยลงทุกปี ผู้ชมหดหาย เพราะที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับตลาดออฟไลน์มากกว่า

จนล่าสุด บริษัทญี่ปุ่นที่อยู่เบื้องหลังตัวการ์ตูนที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Hello Kitty, กบเคโระ, เพนกวิน Bad Batdz-Maru ก็ได้ประกาศว่าบริษัทจะทำให้ทั่วทั้งโลกมียอดรับชมตัวละครต่างๆ รวมแล้วเป็นเวลา 3 แสนล้านชั่วโมงให้ได้ภายใน 2031

และการจะทำให้สำเร็จ โลกออฟไลน์อาจต้องมาถึงจุดอิ่มตัว และเปลี่ยนตัวการ์ตูนเข้าไปอยู่ในโลก Metaverse รวมถึงเปิดตัว NFT ของตัวเอง โดยบริษัทกำลังมองหาความร่วมมือกับ Amazon, Netflix และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นๆ อยู่

ซึ่งหากทำสำเร็จ Sanrio เชื่อว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งระดับโลกอย่าง Walt Disney ได้

เป้าหมายอันแสนทะเยอทะยานของผู้บริหารคนใหม่ของ Sanrio เรียกได้ว่าทำเอาห้องประชุมคณะกรรมการบริษัทสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้

โดยในเดือน ก.ค. 2020 ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Shintaro Tsuji วัย 94 ปี ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และมอบอำนาจการบริหารบริษัทให้หลานชายอย่าง Tomokuni Tsuji วัย 33 ปี

ในช่วง 19 เดือนแรกที่เข้ารับตำแหน่ง Tomokuni พยายามจะทำให้แบรนด์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะแม้จะเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Sanrio นั้นค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาภายใต้การนำของคุณปู่ของเขา

และเพื่อทำให้คนรุ่นใหม่รู้จัก Hello Kitty มากขึ้น เขาจึงพัฒนาแนวคิดที่มีชื่อว่า Sanrio Hours หรือหน่วยเวลาที่ผู้บริโภคใช้กับแบรนด์

“เป้าหมายของเราคือทำให้ผู้บริโภคใช้เวลากับเรา 3 แสนล้านชั่วโมงในปี 10 ปีข้างหน้า และนั่นกลายเป็นโฟกัสใหม่ของบริษัทแล้ว ผมรู้ว่าเป้าหมายมันดูยิ่งใหญ่มาก แต่มันก็สามารถเกิดขึ้นได้” เขากล่าวกับ Financial Times

ทั้งนี้ Tomokuni ถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งปี 2021 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 4.1 หมื่นล้านเยน หรือราว 1.2 หมื่นล้านบาท

เขาบอกว่า ที่ผ่านมา เป็นเวลากว่า 1 พันล้านชั่วโมงที่ตัวการ์ตูนคาแร็กเตอร์ของ Sanrio ถูกส่งเป็นสติ๊กเกอร์หรืออีโมจิบนแอปพลิเคชั่น Line แสดงให้เห็นถึงการที่บริษัทพยายามจะใกล้ชิดกับผู้บริโภคทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือน

อย่างไรก็ตาม Sanrio รู้ดีว่ากลยุทธ์ที่ตนเองใช้ตลอดที่ผ่านมานั้นอาจยังไม่เพียงพอ เพราะมองไปในฟากของ Disney ก็จะเห็นว่าดิสนีย์ขยายธุรกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัทที่ผลิตคอนเทนต์ และสร้างจักรวาลแห่งตัวละครโดยใช้โปรดักต์ข้ามแพลตฟอร์มกัน

“ดังนั้น ในปัจจุบันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำเพียงแค่ใส่รูปภาพของตัวละครลงไปผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วหวังให้พวกเขาเติบโต” Tomokuni กล่าว

เขาบอกอีกว่า ภาพคนมหาศาลในโอซาก้าที่ต่อสู้แย่งชิงถังป๊อปคอร์นสุดพิเศษและสินค้าอื่นๆ จากอนิเมะเรื่องดังอย่าง Demon Slayer หรือดาบพิฆาตอสูร พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวละครร่วมสมัยมีต้นกำเนิดมาจากความบันเทิงหลากหลายประเภทได้

“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อเราเปิดตัวตัวละครใหม่ เราจะไม่เพียงคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิธีการใช้โซเชียลมีเดียด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปในตลาดอนิเมะ มังงะ หรือเกม”

ทั้งนี้ Sanrio ไม่ได้พึ่งพาคิตตี้เพียงอย่างเดียว โดยบริษัทเพิ่งเปิดตัว Aggretsuko ซีรีส์แอนิเมชั่นตลกที่ออกอากาศใน Netflix โดยเป็นการ์ตูนเสียดสีชีวิตการทำงานที่มีตัวละครหลักเป็นแพนด้าแดงเพศเมียที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นทั่วไป

ผู้บริหารรุ่นใหม่กล่าวอีกว่า ซีรีส์นี้ซึ่งได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ด้วย จนได้รับการต่ออายุเป็นเวลา 4 ฤดูกาล ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วมมือกับ Netflix และการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งรวมถึง Amazon Prime จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทในอนาคต

เขากล่าวอีกว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะมองหาแนวทางความร่วมมือกับ Sony, Nintendo และบริษัทบันเทิงญี่ปุ่นรายอื่นๆ เพื่อสร้างแวดวงการใช้คอนเทนต์ประเภทต่างๆ ร่วมกัน เช่น รายการโชว์ และเกม

Sanrio ยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลดนตรีแบบ Metaverse ในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่มีชื่องานว่า Sanrio Virtual Fes จัดขึ้นสวนสนุก Sanrio Puroland โดยมีตัวการ์ตูนของ Sanrio ร่วมแสดงไปกับศิลปินป๊อปสตาร์และบล็อกเกอร์วิดีโอ ขณะที่ผู้เข้าร่วมสามารถสื่อสารกันผ่านอวตารบนอุปกรณ์ต่างๆ

“ที่ผ่านมา Sanrio ล้าหลังในกลยุทธ์ด้านดิจิทัล แต่เราต้องการจะมีบทบาทมากขึ้นในโลก Metaverse และ NFT” Tomokuni ระบุ

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Sanrio เกิดขึ้นเนื่องจากผลกำไรของบริษัทลดลง นับตั้งแต่ทำจุดสูงสุดไว้ในปี 2013 และตัวละครจากภาพยนตร์เรื่อง Frozen ของดิสนีย์ ก็เบียดบังความดังของตัวละครของ Sanrio ในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป (ซึ่งเป็นตลาดที่ลูกค้ามีกำลังซื้อ) ไปโดยปริยาย

ไม่เพียงเท่านั้น แต่โควิดก็ส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างหนัก เนื่องจากสวนสนุกและร้านค้าต่างๆ ของบริษัทถูกสั่งปิดดำเนินการ ส่วนสินค้าของร้าน เช่น กล่องอาหารกลางวัน หมอน แปรงสีฟัน ที่ทำให้ Hello Kitty โด่งดังในช่วงทศวรรษ 1990 กลับเป็นส่วนที่ทำกำไรได้น้อยลง

อย่างไรก็ตาม Tomokuni กล่าวว่า จากการระบาดครั้งใหญ่ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีในการทำให้ Sanrio ฟื้นตัว

“เราต้องยึดจุดดีใน 60 ปีของประวัติศาสตร์องค์กรไว้ และแก้ไขจุดอ่อนที่เรามี ซึ่งการขาดความยืดหยุ่น และการทำงานแบบแยกส่วนขององค์กร ทำให้พนักงานยึดมั่นในสถานะที่เป็นอยู่ และไม่ก้าวไปไหน”

และในการสานต่อความทะเยอทะยานเพื่อไปสู่ระดับโลกอีกครั้ง Tomokuni กำลังสร้างทีมที่จะสร้างผลงานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง โดยทีมดังกล่าวคาดว่าจะถูกจัดตั้งขึ้นในเดือน เม.ย. ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างตัวละครระดับโลกจนเทียบชั้นกับเอลซ่าและมิกกี้เมาส์

“มันอาจเป็นเรื่องท้าทายเกินไปที่จะสร้างตัวละครที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปอีก 50 ปีนับจากนี้ แต่สิ่งที่ทำได้คือคุณอาจมองไปที่ตัวละครใหม่ที่จะทำเงินภายใน 5-10 ปีนี้” เขากล่าวถึงผลงานใหม่

“เราจำเป็นที่จะต้องมีพอร์ตโฟลิโอระดับโลกที่ตัวละครสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ แม้ว่าจะมีตัวใดตัวหนึ่งล้มลงก็ตาม” Tomokuni กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา https://asia.nikkei.com/Business/Media-Entertainment/Hello-Kitty-prepares-to-charm-metaverse?fbclid=IwAR0JEgcSZQNZuHzkJeXTlZwavsvXcAXGrX5_llg2431AI-YSCT4mBoX8zs4

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า