Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

แบงก์ชาติกำลังเปิดรับฟังความเห็นกฎหมายดูแลธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเติบโตสูงจนมูลค่าแตะ 12.3% ของหนี้ครัวเรือน แต่ 1 ใน 3 ของธุรกรรมยังไม่มีหน่วยงานดูแล และมีเสียงร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับบริการค่อนข้างมาก

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำกับดูแลธุรกิจ การให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์

เพราะปัจจุบัน การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์มีการให้บริการกับประชาชนเป็นวงกว้าง และมีอัตราการขยายตัวสูง

โดยในปี 2560-2564 ขยายตัวเฉลี่ย 5.5% ต่อปี และล่าสุด ณ สิ้นปี 2564 จำนวนธุรกรรมคงค้างของการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมแล้วมีประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท หรือ 12.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนธุรกรรมดังกล่าวเป็นการให้บริการของผู้ประกอบการที่มิใช่สถาบันการเงินและมิใช่บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ (non-bank) ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลที่ชัดเจน

อีกทั้งที่ผ่านมา ข้อร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการใช้บริการดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มขึ้น

ดังนั้น คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยเห็นว่าควรมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และมีกฎหมายกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ

ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีการหารือร่วมกันถึงเหตุผล ความจำเป็นและหลักการของกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจดังกล่าว

โดยเห็นควรออกเป็นพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) ภายใต้อำนาจของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ((ร่าง) พระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจทางการเงินบางประเภทอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. ….)

ซึ่ง (ร่าง) พ.ร.ฎ.ฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

1. กำกับดูแลนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นทางค้าปกติ ซึ่งยังไม่มีกฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ 

2. ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจใน 2 ด้าน 

2.1 การรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน เพื่อดูแลระดับหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่เป็นการส่งเสริมให้ผู้บริโภคก่อหนี้สินเกินตัวโดยไม่จำเป็น และ

2.2 การคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมและดูแลประชาชนทั่วไปให้ได้รับบริการที่เป็นธรรม ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และไม่ถูกหลอก ถูกบังคับ ถูกรบกวน หรือถูกเอาเปรียบ ตลอดจนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินด้วยราคาที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจให้เป็นไปตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนดโดยอาศัยอำนาจตาม (ร่าง) พ.ร.ฎ.ฯ อาทิ 1) การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจเปิดเผยข้อมูล เช่น อัตราดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับต่างๆ ให้ผู้บริโภคทราบ

2) การยกระดับมาตรฐานการให้บริการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เช่น การกำหนดหลักการในการเรียกเก็บดอกเบี้ย การคำนวณเบี้ยปรับ 3) การจัดทำบัญชีและงบการเงินตามมาตรฐานการบัญชี และ 4) การจัดเก็บและการรายงานข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแล

3. กำหนดบทลงโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตาม (ร่าง) พ.ร.ฎ.ฯ ซึ่งมีโทษทั้งปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ

bot-open-public-hearing-to-regulate-leasing-business

ทั้งนี้ การกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ดังกล่าวในข้างต้น จะเกิดประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ

ผู้บริโภค จะได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและเป็นธรรม รวมถึงมีข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการอย่างเพียงพอ

ผู้ประกอบธุรกิจ จะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคในการใช้บริการมากยิ่งขึ้น และสามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมภายใต้การกำกับดูแลตามระดับความมีนัยสำคัญของความเสี่ยง (Risk Proportionality)

ภาครัฐ สามารถกำกับดูแลเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน โดยเฉพาะการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญและคำนึงถึงความเป็นธรรมในการให้บริการด้วย

อย่างไรก็ตาม ธปท. และ สศค. เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจมีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านบวกและด้านลบหาก (ร่าง) พ.ร.ฎ.ฯ มีผลบังคับใช้ จึงขอเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้สนใจ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และสาธารณชน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) พ.ร.ฎ.ฯ ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

โดยผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะผ่านทางเว็บไซต์ของ ธปท. และระบบกลางทางกฎหมาย ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2565 ถึงวันที่ 31 ส.ค. 2565

ภายหลังการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากสาธารณชนแล้ว จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนในการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และ ธปท. จะได้ร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำร่างประกาศ ธปท. เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า