Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

explainer คดีอันลือลั่นของจอห์นนี่ เด็ปป์ และ แอมเบอร์ เฮิร์ด ตอนนี้สิ้นสุดลงแล้ว ด้วยชัยชนะของฝ่ายชาย เรื่องราวเป็นอย่างไร workpointTODAY จะสรุปทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย แบบเข้าใจง่ายที่สุดใน 20 ข้อ

1) จอห์นนี่ เด็ปป์ และ แอมเบอร์ เฮิร์ด สองนักแสดงชาวสหรัฐฯ เป็นคู่รักต่างวัย เด็ปป์เกิดปี 1963 ส่วนแอมเบอร์ เกิดปี 1986 อายุห่างกัน 23 ปี โดยทั้งสองคนรู้จักกันครั้งแรก เมื่อเล่นภาพยนตร์ด้วยกันในเรื่อง The Rum Diary ในปี 2009

ซึ่งในครั้งนั้น แอมเบอร์ เฮิร์ด เคยให้สัมภาษณ์ทีเล่นทีจริงว่า “ทำงานกับจอห์นนี่เต็มไปด้วยความทรมาน แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ตอนแรก”

2) กันยายน 2009 ตอนนั้นแอมเบอร์ มีแฟนเป็นผู้หญิง ชื่อแทสย่า แวนรี ทั้งสองคนทะเลาะกันที่สนามบินซีแอตเติล จนเกิดเหตุใช้ความรุนแรงขึ้น แอมเบอร์ไปกระชากและทุบตีแทสย่าจนบาดเจ็บ สุดท้ายแทสย่าเรียกตำรวจสนามบิน มาช่วยจับกุมแอมเบอร์เอาไว้ แอมเบอร์ต้องถ่าย Mug Shot และเกือบจะเป็นคดีความ แต่สุดท้ายไกล่เกลี่ยกันได้ คดีความจึงยุติกันแค่ตรงนั้น

3) ปลายปี 2011 จอห์นนี่ เด็ปป์ เลิกกับวาเนสซ่า พาราดิส แฟนสาวที่คบกันมายาวนานถึง 14 ปี เป็นจังหวะเดียวกับที่แอมเบอร์ เลิกกับแทสย่า แวนรีเช่นกัน และในช่วงเวลานั้นภาพยนตร์เรื่อง The Rum Diary ที่ทั้งคู่เล่นด้วยกัน ถ่ายทำเสร็จพอดีเริ่มออกฉายทั่วโลก ทั้งสองคนต้องเดินสายไปโปรโมทตามเมืองต่างๆ จึงมีเวลาใกล้ชิดกันมากขึ้น

ด้วยความที่ต่างคนต่างโสดพอดี จึงตัดสินใจลองคบหากัน ก่อนที่ในปี 2012 จะย้ายมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันในที่สุด

4) ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งคู่หมั้นหมายกันในปี 2014 มีการให้แหวนกันเรียบร้อย ก่อนที่จะมีพิธีแต่งงานเล็กๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 ที่ลอสแองเจลิส ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เด็ปป์หลงรักแอมเบอร์อย่างมากจริงๆ เพราะแฟนคนก่อน วาเนสซ่า พาราดิส ขนาดคบกัน 14 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน เด็ปป์ยังไม่แต่งงานเป็นสามี-ภรรยา แต่กับแอมเบอร์ คบกันราวๆ 3 ปี แต่เด็ปป์ถึงกับขอแต่งงานกันเลย

5) แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นานนัก แต่งงานกันได้แค่ 1 ปีเศษๆ เท่านั้น เดือนพฤษภาคม 2016 แอมเบอร์ ก็ฟ้องศาลขอหย่า โดยให้เหตุผลว่า “ตลอดความสัมพันธ์ของเรา จอห์นนี่ ทำร้ายด้วยวาจา และทำร้ายร่างกายฉันตลอดเวลา ทุกคนรู้กันดีว่าจอห์นนี่ มีประวัติเรื่องการใช้ยาเสพติด และการติดแอลกอฮอล์มาตลอด นอกจากนั้นเขายังอารมณ์ร้อนมากอีกด้วย”

จุดแตกหักเกิดขึ้น ในช่วงไม่กี่วัน หลังจากแม่ของจอห์นนี่ เด็ปป์เสียชีวิต แอมเบอร์อ้างว่า เขาอารมณ์เสีย และขว้างปาโทรศัพท์ใส่หน้าเธอ จนเกิดรอยฟกช้ำ นอกจากนั้นยังเอาขวดแชมเปญฟาดกระจุยไปทั่วบ้านด้วยความโมโห ซึ่งเพื่อนสนิทของแอมเบอร์ ชื่อ ไอโอ ทิลเล็ต ไรท์ เป็นคนโทรแจ้งความให้ แต่พอเจ้าหน้าที่ตำรวจแอลเอ (LAPD) ไปถึงที่เกิดเหตุ กลับไม่พบหลักฐานใดๆ ของการใช้ความรุนแรง จึงกลายเป็น “เรื่องเล่าอ้าง” จากคำพูดของแอมเบอร์เท่านั้น

6) แอมเบอร์ตอนแรก เรียก “ค่าเลี้ยงดู” จากเด็ปป์เดือนละ 50,000 ดอลลาร์ (1.5 ล้านบาท) โดยจะมีพันธะผูกพันไปตลอด แต่สุดท้ายเด็ปป์ ตัดสินใจจ่ายเงิน 7 ล้านดอลลาร์ (218 ล้านบาท) ก้อนเดียวให้จบกันไปเลย โดยไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก ซึ่งแอมเบอร์ก็ยินดีรับไว้ โดยประกาศว่าจะเอาเงินส่วนหนึ่งที่ได้รับ ไปบริจาคให้องค์กรการกุศล

จากนั้น 13 มกราคม 2017 ทั้งสองคนจึงประกาศหย่าร้างอย่างเป็นทางการ โดยไม่มีการกล่าวถึงเรื่องการทำร้ายร่างกายใดๆ อีก เหมือนทุกอย่างจะจบลงด้วยดี

7) เรื่องที่เหมือนจะจบ แต่ไม่จบจริง ในวันที่ 27 เมษายน 2018 แดน วูตตัน บรรณาธิการของเดอะ ซัน (The Sun) สื่ออังกฤษชื่อดัง ลงบทความออนไลน์ว่า “ถามจริงๆ ว่า เจเค โรว์ลิ่ง จะมีความสุขจริงๆ หรือ ถ้าจอห์นนี่ เด็ปป์ คนทำร้ายเมียตัวเอง จะได้รับบทบาทในหนังของเธอ” โดยเดอะ ซัน ใช้คำว่า Wife-Beater (คนทำร้ายเมีย) กล่าวถึงเด็ปป์โดยตรง

อธิบายคือ เจเค โรว์ลิ่ง ผู้แต่งซีรีส์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้ชื่อว่าเป็นเฟมินิสต์ตัวยง ที่ปกป้องสิทธิสตรีอยู่เสมอ ดังนั้น เดอะ ซันจึงเชื่อมโยงไปว่า จอห์นนี่ เด็ปป์ ที่รับบทเป็นเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ ในซีรีส์ Fantastic Beasts (ซึ่งโรว์ลิ่งเขียนเช่นกัน) จึงไม่เหมาะนักที่จะเล่นเป็นตัวละคร ที่โรว์ลิ่งเขียน

ไม่มีใครทราบว่าเป็นแรงกดดันจากใคร แต่สุดท้ายค่ายหนังวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ถอดเด็ปป์จากการเล่นบทกรินเดลวัลด์ และไปเลือกแมดส์ มิคเคลสัน มาเล่นบทนี้แทน

8 ) จากนั้นชนวนความขัดแย้ง ก็ยังหนักขึ้นต่อไปอีกเมื่อ วันที่ 19 ธันวาคม 2018 แอมเบอร์ เฮิร์ด เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ โดยตั้งชื่อเรื่องว่า “ฉันยืนหยัดสู้กับเรื่องความรุนแรงทางเพศ แต่สังคมเลือกที่จะโจมตีฉัน เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนได้แล้ว”

แอมเบอร์ เขียนบทความล้อไปกับการเคลื่อนไหว #MeToo โดยส่วนหนึ่งในบทความเขียนว่า “เมื่อ 2 ปีก่อน ฉันกลายมาเป็นที่รู้จัก เมื่อเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาสู้จากการโดนทำร้าย และฉันรู้สึกว่าในสังคมของเรา ผู้หญิงคนไหนที่ออกมาพูดจะโดนแรงกระแทกอย่างหนักเสมอ เพื่อนๆ บอกฉันว่า ฉันอาจจะติดแบล็กลิสต์ในวงการบันเทิง และอาจไม่มีบทให้แสดงอีก ซึ่งมันก็จริง เพราะหนังบางเรื่องเขาก็หาคนมาเล่นแทนฉัน หรือ แบรนด์สินค้าแห่งหนึ่งยุติการจ้างงานฉัน แม้แต่บทเมร่า ในอควาแมน ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะรักษาบทไว้ได้ตลอดหรือเปล่า นี่แหละคือสิ่งที่สังคมของเรา มักจะเลือกปกป้องฝ่ายชายเสมอ”

9) ฝั่งจอห์นนี่ เด็ปป์ไม่พอใจอย่างรุนแรง และมองว่าแอมเบอร์ Play Victim หรือเล่นบทเป็นเหยื่อ โดยโยนความผิดให้เขา ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งบอกว่าเขาเป็นพวกใช้ความรุนแรงด้วยซ้ำ แต่กลับโยนความผิดมาให้เขาแบบนี้ สังคมจะมองเขาอย่างไร เด็ปป์จึงฟ้องศาลทั้ง 2 ประเทศ คือฟ้องเดอะ ซัน ข้อหาหมิ่นประมาทที่อังกฤษ และฟ้องแอมเบอร์ เฮิร์ด ที่ศาลในรัฐเวอร์จิเนีย ข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน

คดีแรกคือคดีหมิ่นประมาทที่อังกฤษ เด็ปป์บอกว่า เดอะ ซันจะใช้คำว่า Wife-Beater ไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนซ้อมเมีย การตีตราว่าเขาเป็นคนแบบนั้น คือการปั้นเรื่องเท็จอย่างที่สุด ณ จุดนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเดอะ ซัน ที่จะหาหลักฐานมาว่าเด็ปป์เคยทำร้ายร่างกายแอมเบอร์สักครั้งหรือไม่ ถ้าหากเคยทำ ก็สามารถใช้คำว่า “คนทำร้ายเมีย” ได้

ซึ่งเดอะ ซัน ได้ติดต่อหาแอมเบอร์ เฮิร์ด และขอรายละเอียดทั้งหมดในความสัมพันธ์ ซึ่งฝั่งแอมเบอร์นั้น ก็มองว่าถ้า เดอะ ซัน ชนะคดีที่อังกฤษ เธอเองก็จะได้ประโยชน์ ในการสู้คดีที่สหรัฐฯ ด้วย แอมเบอร์จึงเล่าว่า เธอเคยโดนทำร้ายทั้งหมด 14 ครั้ง ตัวอย่างเช่น

– แอมเบอร์แซวรอยสักของเด็ปป์ ทำให้เด็ปป์โกรธ จับเธอทุ่มลงพื้นแล้วตบหน้า 3 ฉาด
– แอมเบอร์แขวนรูปวาดของแฟนเก่าที่เป็นศิลปินเอาไว้บนผนังในห้องนอน เด็ปป์ที่เมาเหล้าตบหน้าเธอไป 1 ที แล้วจะจุดไฟเผารูปวาด
– ตอนที่แอมเบอร์ตามเด็ปป์ไปถ่ายทำเรื่อง Pirates of the Caribbean ที่ออสเตรเลีย เธอโดนซ้อมหลายครั้ง และอยู่ในห้องด้วยกันสามวัน กับความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะโดนฆ่า
– วันเกิดครบ 30 ปีของแอมเบอร์ เด็ปป์ขว้างขวดแชมเปญใส่เธอแต่พลาดไป ก่อนที่จะกระชากหัวด้วยความรุนแรง

10) เมื่อแอมเบอร์ชี้แจงแบบนั้น ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของเด็ปป์เสียหายยับเยิน แต่ฝั่งแอมเบอร์เองก็เละไม่แพ้กัน โดยระหว่างการสู้คดี เด็ปป์เล่าว่า สาเหตุที่เลิกกันไม่ใช่เพราะเรื่องทำร้ายร่างกายอย่างที่แอมเบอร์กล่าวอ้างเลย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของฝ่ายหญิงเองก็สุดจะทนแล้วต่างหาก

ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งแอมเบอร์อุจจาระลงบนเตียงนอน ซึ่งฝั่งแอมเบอร์แก้ต่างว่า เป็นอุจจาระของหมาสองตัวที่เลี้ยงไว้ต่างหาก แต่แม่บ้านที่ทำความสะอาดในวันนั้น ยืนยันว่า มันคืออุจจาระของคน ไม่ใช่ของสัตว์แน่นอน และเมื่อไม่ใช่เด็ปป์ ก็ต้องเป็นแอมเบอร์อยู่แล้ว

11) เด็ปป์ยังเล่าว่า พอแต่งงานกันได้เดือนแรก ทั้ง 2 คนทะเลาะกันอย่างรุนแรงจากปัญหาเรื่องเอกสารก่อนจดทะเบียนสมรส ทำให้แอมเบอร์ขว้างขวดวอดกาขนาดใหญ่ใส่เขา ขวดแตกกระจายและเศษแก้วเฉือนนิ้วเขาจนขาด และกระดูกร้าวหลายจุด เด็ปป์ต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง เพื่อต่อนิ้ว แต่ในครั้งนั้นที่เขาไม่บอกว่า แอมเบอร์เป็นคนทำ เพื่อปกป้องแอมเบอร์ที่เพิ่งแต่งงานกันได้แค่เดือนเดียว

12) รวมไปถึงในการสู้คดี มีคลิปเสียงที่ฝั่งทนายของเด็ปป์ใช้สู้คดี เป็นคำพูดของแอมเบอร์ที่ยืนยันว่า ตัวเองเธอเองก็ทำร้ายเด็ปป์หลายครั้ง ทั้งขว้างปาข้าวของ ทั้งตบหน้า โดยในคลิปเสียงเด็ปป์บอกว่า ไม่อยากให้ทะเลาะกันแบบใช้กำลังอีก แต่แอมเบอร์กล่าวว่า เธอให้สัญญาไม่ได้หรอก อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มว่า แอมเบอร์ใช้กำลังใส่เด็ปป์จริง แต่ศาลอังกฤษไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินเรื่องคดีทำร้ายร่างกาย แต่กำลังตัดสินคดีหมิ่นประมาทอยู่ ว่าเดอะ ซัน สามารถใช้คำว่า Wife-Beater ได้หรือไม่ในหน้าสื่อ

สุดท้ายศาลตัดสินให้เดอะ ซันชนะ โดยระบุว่าใน 14 เรื่องที่แอมเบอร์เล่า มีถึง 12 เรื่อง ที่มีแนวโน้มจะเป็นไปได้ ดังนั้นเดอะ ซัน จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท และสามารถใช้คำว่า Wife-Beater ได้ พร้อมทั้งให้เด็ปป์ จ่ายเงินค่าทนายให้เดอะ ซัน เป็นเงิน 628,000 ปอนด์ (27 ล้านบาท)

เมื่อเดอะ ซัน ชนะคดี เช้าวันรุ่งขึ้น หน้า 1 เต็มฉบับ เดอะ ซันจึงโจมตีใส่จอห์นนี่ เด็ปป์อย่างหนักทันทีว่า “เด็ปป์แพ้คดีหมิ่นประมาท และในเวลานี้ เราคอนเฟิร์มได้แล้วว่า เขาคือคนทำร้ายเมียตัวจริง”

13) หนึ่งคดีจบไปที่อังกฤษ แต่คดีที่เวอร์จิเนียยังอยู่ เมื่อเด็ปป์ยังคงฟ้องแอมเบอร์ เฮิร์ด ที่เธอไปเขียนบทความในวอชิงตันโพสต์ โดยเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานของเธอ ทำให้เขาเสียโอกาสทางการงานมากมาย อย่างไรก็ตามในคดีหมิ่นประมาท โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ได้ แต่ศาลจะให้จ่ายหรือไม่ ก็อีกกรณีหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แอมเบอร์ เฮิร์ด ไม่ยอมง่ายๆ เธอชนะมาแล้ว 1 ศาลที่อังกฤษ ดังนั้นเธอจึงทำการ “ฟ้องกลับ” ที่ศาลเวอร์จิเนีย ว่าทนายของเด็ปป์หมิ่นประมาท ว่าเธอโกหกที่โดนทำร้ายร่างกายจนฝั่งเธอก็เสียการเสียงานไปไม่น้อย โดยเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

14) คดีที่เวอร์จิเนีย เริ่มต้นไต่สวน วันที่ 12 เมษายน 2022 ทนายความฝั่งเด็ปป์ โจมตีว่า แอมเบอร์ เอาเรื่องทำร้ายร่างกายออกมาเล่น เพราะต้องการจะมีชื่อเสียงมากขึ้นและเติบโตในอาชีพการงานไปไกลกว่านี้ และบทความในวอชิงตันโพสต์แม้จะไม่เอ่ยชื่อ แต่ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า คือจอห์นนี่ เด็ปป์ พร้อมทั้งโจมตีว่า แอมเบอร์ เฮิร์ด คือคนโกหก และใช้คำว่า Performance of her life (ตีบทแตกที่สุดในชีวิต)

แต่ทนายฝั่งแอมเบอร์ เฮิร์ด ก็ตอบโต้ว่า ก็เด็ปป์ทำร้ายร่างกายจริงๆ ตั้งหลายครั้ง และมีอาการติดแอลกอฮอล์ และ ติดยา ฝั่งทนายแอมเบอร์ใช้คำว่า “เขาทำให้แอมเบอร์อับอาย ตามหลอกหลอนเธอ และทำลายอาชีพของเธอ” และยืนยันว่า ที่เด็ปป์เสียการเสียงาน เป็นเพราะนิสัยติดการดื่มเหล้าและใช้ยาต่างหาก จนทำให้สตูดิโอสร้างหนังหมดความเชื่อถือ ไม่เกี่ยวกับบทความของแอมเบอร์ ที่วอชิงตันโพสต์

15) คดีในศาลที่สหรัฐฯ ใช้ระบบลูกขุน อธิบายคือ จะให้ประชาชนจำนวน 12 คน ทำการลงมติ เลือกว่าใครเป็นผู้ชนะคดี ดังนั้นทนายความของทั้งสองฝั่ง จึงต้องทำทุกวิถีทาง หาพยานหลักฐานให้แน่นที่สุด เพื่อโน้มน้าวใจลูกขุนให้เอียงมาทางฝั่งตัวเองให้ได้

โดยการสืบคดี กินเวลา 6 สัปดาห์ พร้อมทั้งสืบพยานมากกว่า 60 ปาก และในที่สุด วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 เป็นวันปิดคดี โดยทนายทั้ง 2 ฝ่ายจะออกมากล่าวปิดเป็นครั้งสุดท้าย (Closing arguments)

แถลงปิดของทีมกฎหมายฝั่งแอมเบอร์ ทนายความเบนจามิน ร็อตเทนบอร์น กล่าวว่า “ท่านลูกขุน ลองคิดดีๆ ถึงสิ่งที่คุณเด็ปป์กับทนายความของเขาพยายามจะส่งถึงแอมเบอร์และคนที่โดนทำร้ายร่างกายทุกคน ว่า ‘ถ้าคุณไม่มีภาพว่าโดนทำร้าย สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น’ และ ‘ถ้าคุณเจ็บตัวแต่ไม่ได้ไปหาหมอ นั่นแปลว่าคุณไม่ได้เจ็บตัวจริง’ สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดของคุณเด็ปป์คือการโทษเหยื่อ (Victim Blaming)”

ส่วนแถลงปิด ของทีมกฎหมายฝั่งเด็ปป์ ทนายความคามิลล์ วาสเกวซ เธอพูดว่า “มีคนทำร้ายร่างกายอยู่ 1 คน ในศาลแห่งนี้ แต่มันไม่ใช่คุณเด็ปป์ และมีเหยื่อจากการโดนทำร้ายร่างกาย 1 คนในศาลนี้ และมันไม่ใช่คุณเฮิร์ด ที่ผ่านมาคุณเด็ปป์ถูกทำร้ายทางวาจา ทำร้ายร่างกาย และทำร้ายทางอารมณ์อย่างต่อเนื่อง และในวันนี้เมื่อ 6 ปีก่อน วันที่ 27 พฤษภาคม 2016 มีปีศาจร้ายหนึ่งตัวในบ้านที่ออสเตรเลีย และนั่นไม่ใช่คุณเด็ปป์ แต่เป็นคุณเฮิร์ด เธอทำร้ายอย่างรุนแรง จนเกิดบาดแผลลึกในชีวิตของคุณเด็ปป์”

16) เมื่อสืบพยานทั้งหมด และแถลงปิดแล้ว จึงอยู่ที่ลูกขุนจะถูกตัดสินอย่างไร โดยกระแสในโลกออนไลน์ ตั้งแต่ก่อนขึ้นศาลแล้ว ดูจะเทไปทางจอห์นนี่ เด็ปป์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น วิดีโอใน Tiktok ที่มีแท็กว่า #ความยุติธรรมให้แอมเบอร์เฮิร์ด มีคนดูวิดีโอทั้งสิ้น 21 ล้านครั้ง แต่แท็กที่เขียนว่า #ความยุติธรรมให้จอห์นนี่เด็ปป์ มีคนดูวิดีโอมากกว่า 5 พันล้านครั้ง

ขณะที่สื่อที่สหรัฐฯ ตีประเด็นว่า “เพศชายก็เป็นเหยื่อในการทำร้ายร่างกายได้เช่นกัน” โดยวอชิงตัน เอ็กซามีนเนอร์ เขียนบทความว่า “คดีของจอห์นนี่ เด็ปป์ จะมีส่วนสำคัญที่จะบอกสังคมว่า Male Victims มีอยู่จริง” ส่วนนิตยสารเมล แม็กกาซีน กล่าวว่า ในปัจจุบันมีผู้หญิงร้ายๆ อยู่เยอะที่โกหกเรื่องการโดนข่มขืน หรือ พยายามหาทุกทางเพื่อกีดกันไม่ให้พ่อได้เจอกับลูก เมื่อมีคดีนี้ขึ้น จอห์นนี่ เด็ปป์จึงกลายเป็นฮีโร่ของนักสิทธิมนุษยชนฝ่ายชายเลยทีเดียว

17) บทสรุปจากคณะลูกขุน ตัดสินสองคดีแยกกัน โดยคดีที่จอห์นนี่ เด็ปป์ เรียกร้อง 50 ล้านดอลลาร์ ฝั่งลูกขุนมองว่า บทความของเฮิร์ดทำลายชื่อเสียงของเด็ปป์จนเสียการเสียงานจริง และสั่งให้แอมเบอร์จ่ายเงิน 15 ล้านดอลลาร์เป็นค่าเสียหาย แต่หักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว แอมเบอร์ ต้องจ่ายทั้งหมด 10.35 ล้านดอลลาร์

ส่วนคดีที่แอมเบอร์ฟ้องเรียก 100 ล้านดอลลาร์ คณะลูกขุนชี้ว่า ทนายความคนหนึ่งของเด็ปป์ชื่อ อดัม วัลด์แมน ใส่ความแอมเบอร์จริง โดยกล่าวหาว่าตอนแอมเบอร์กับเด็ปป์ทะเลาะกัน ฝั่งแอมเบอร์เตี๊ยมกับเพื่อนก่อนโทรแจ้งตำรวจ ซึ่งไม่มีหลักฐานว่าแอมเบอร์ทำแบบนั้น ทำให้ฝั่งเด็ปป์ต้องจ่ายเงินให้ แอมเบอร์เป็นจำนวน 2 ล้านดอลลาร์ เป็นค่าหมิ่นประมาท

18) แอมเบอร์ เฮิร์ด ให้สัมภาษณ์หลังทราบผลการตัดสินว่า “ในวันนี้คำว่าผิดหวังยังน้อยเกินไป ฉันใจสลายเพราะแม้เราจะมีหลักฐานเป็นภูเขา แต่ก็ยังไม่พอที่จะต่อสู้กับอำนาจ และชื่อเสียงของอดีตสามีของฉัน และที่ผิดหวังมากกว่า คือการตัดสินครั้งนี้ มันมีผลกระทบต่อผู้หญิงคนอื่นแน่นอน มันคือการเดินถอยหลัง เหมือนกับว่าการทำร้ายร่างกายผู้หญิงจะไม่ถูกสังคมหยิบยกมาใส่ใจอย่างจริงจัง”

“ทนายความของจอห์นนี่ ประสบความสำเร็จที่ทำให้คณะลูกขุนมองข้ามหลักฐานทั้งหมด ทั้งๆ ที่เราชนะคดีที่สหราชอาณาจักรมาแล้วด้วยซ้ำ ฉันเสียใจที่แพ้คดีนี้ แต่เสียใจมากกว่าเพราะคิดว่า ความเป็นอเมริกัน สามารถพูดทุกอย่างได้อย่างอิสระ แต่จริงๆ ดูมันไม่ใช่แบบนั้น”

19) ขณะที่ฝั่งจอห์นนี่ เด็ปป์ กล่าวอย่างพอใจว่า “คำตัดสินของคณะลูกขุน ช่วยให้ผมได้รับชีวิตคืนกลับมา ตั้งแต่แรกสุด เป้าหมายของผมคือการเอาความจริงออกมาให้โลกรู้ โดยผมไม่สนว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ และตอนนี้ชีวิตบทใหม่ของผมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม คือต่อจากนี้ไปนี่ล่ะ”

“ผมรู้สึกถึงความสงบสุขเมื่อได้รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันจบลงเสียที”

20) สำหรับสถานการณ์ต่อจากนี้ ฝั่งแอมเบอร์สามารถอุทธรณ์ได้ แต่สื่อที่สหรัฐฯ เชื่อว่า เธอจะไม่อุทธรณ์ เพราะโมเมนตั้มของสังคมเทไปทางจอห์นนี่ เด็ปป์แล้ว ดังนั้นคงยากที่เธอจะพลิกสถานการณ์ได้ ในขณะที่ตัวเงิน 10.35 ล้านดอลลาร์ ทางฝั่งจอห์นนี่ เด็ปป์ สามารถ “ไม่รับเงิน” ได้ ซึ่งก็มีโอกาสจะเป็นแบบนั้น เพราะเป้าหมายของเด็ปป์ อาจเป็นแค่ “การชนะคดี” เฉยๆ
บทสรุปของมหากาพย์ เด็ปป์-เฮิร์ด ที่สั่นสะเทือนวงการบันเทิงโลกก็จบลงตรงนี้ โดยจอห์นนี่ เด็ปป์ แพ้คดีที่ศาลอังกฤษ แต่เขาพลิกสถานการณ์กลับมาชนะคดีที่ศาลสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อผลการตัดสินเป็นแบบนี้ ก็เชื่อว่า โอกาสและหน้าที่การงาน รวมถึงบทบาทในภาพยนตร์ที่สูญเสียไปของเด็ปป์ น่าจะกลับคืนมาอีกครั้ง ในระยะเวลาอันใกล้นี้

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า