Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

จาซินด้า อาเดิร์น หนึ่งในนายกรัฐมนตรี ที่คนนิวซีแลนด์รักมากที่สุด ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความตกตะลึงของประชาชน โดยเหตุผลคือ “ผู้นำที่ดี ต้องรู้ว่าเวลาไหนควรลงจากตำแหน่ง” เรื่องราวเป็นอย่างไร สำนักข่าว Today จะสรุปสถานการณ์ทุกอย่างให้เข้าใจง่ายที่สุดใน 16 ข้อ

1) จาซินด้า อาเดิร์น ถูกรับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคแรงงาน พรรคใหญ่ที่สุดอันดับสองของนิวซีแลนด์ ในปี 2017 ด้วยวัยเพียง 37 ปีเท่านั้น

2) ในเดือนตุลาคม 2017 การเลือกตั้งทั่วไปของนิวซีแลนด์ เกิดปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อ 3 พรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 2 (พรรคแรงงาน) อันดับ 3 (พรรคนิวซีแลนด์เฟิร์ส) และ อันดับ 4 (พรรคกรีน) จับมือรวมตัวกันในฐานะพรรคเสียงข้างน้อย เพื่อโค่นล้มพรรคที่มีคะแนนเสียงอันดับ 1 (เนชั่นแนลปาร์ตี้)

การรวมตัวกันสำเร็จด้วยดี และทำให้จาซินด้า อาเดิร์น ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในวัย 37 ปีเท่านั้น และสร้างสถิติ เป็นผู้นำอายุน้อยที่สุดของนิวซีแลนด์ในรอบ 150 ปี

3) อาเดิร์น สร้างปรากฏการณ์ที่ชื่อ “จาซินด้ามาเนีย” ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเรตติ้งเธอพุ่งกระฉูดอย่างมาก ในฐานะผู้นำที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีทัศนวิสัยในการพานิวซีแลนด์ก้าวไปข้างหน้า แอนดรูว์ เบิร์นส ตัวแทนพรรคแรงงานอธิบายว่า “เธอไม่เหมือนนักการเมืองทั่วไป เธอมีทักษะในการสื่อสารกับผู้คน และใช้ความจริงใจในการเข้าหา”

4) เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ เธอไม่ทำให้คนนิวซีแลนด์ผิดหวัง ด้วยการแสดงความสามารถอย่างมากมาย มีทั้งความรู้และภาวะผู้นำ ในเดือนมีนาคม 2019 ตอนเกิดเหตุมือปืนสังหาร 51 ชีวิต ที่มัสยิดในเมืองไครเชิร์ช ด้วยความเกลียดชังคนมุสลิม โดยนายกฯ อาเดิร์น ได้กล่าวว่า “ผู้คนที่อพยพมาอยู่นิวซีแลนด์ เขาตัดสินใจแล้วว่า จะเลือกนิวซีแลนด์เป็นบ้าน ดังนั้นนี่ก็คือบ้านของพวกเขาเช่นกัน” จากนั้นเธอใส่ฮิญาบ ไปเยี่ยมญาติของผู้เสียชีวิตและสวมกอดทุกคนด้วยความจริงใจ

จากนั้นแค่ 6 วันหลังเกิดเหตุการณ์ เธอผลักดันให้เกิดกฎหมาย แบนปืนเซมิออโต้ในประเทศนิวซีแลนด์อย่างเด็ดขาด และเดินหน้ากำจัดปืนผิดกฎหมายทั้งหมด 62,000 กระบอกในประเทศ

5) เธอสานสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ ในประเทศ ทั้งคนผิวขาว และคนเมารี มีการประกาศให้วัน Matariki หรือวันปีใหม่ของชนเผ่าเมารี ให้เป็นวันหยุดราชการของประเทศด้วย พยายามให้คุณค่าของคนทุกๆ ชาติพันธุ์ ให้รู้สึกมีความภาคภูมิใจที่ได้อยู่ในประเทศนิวซีแลนด์

6) เธอร่วมต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ในเดือนกรกฎาคม 2020 อาเดิร์นผลักดันให้เกิดกฎหมาย “ค่าจ้างเท่าเทียม” ในงานแบบเดียวกัน ค่าจ้างชายและหญิง ควรอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือเท่ากัน นอกจากนั้นยังมีนโยบายให้ภาครัฐแจกจ่าย ผ้าอนามัยฟรี ให้กับนักเรียนทั่วประเทศอีกด้วย

7) เธอเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ที่ร่วมเดินขบวนของกลุ่ม LGBTQ เธอสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ คุณสามารถใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์ได้อย่างสงบสุข ไม่สำคัญว่าจะเป็นเพศอะไร พรรคแรงงานของเธอตั้งใจจะลบประวัติอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการรักร่วมเพศ

นอกจากนั้น ในรัฐสภาของนิวซีแลนด์ ยังมีคนที่เป็นกลุ่มรักร่วมเพศมากถึง 7% ซึ่งเป็นจำนวนของ LGBTQ ในสภา ที่มากที่สุดในโลกด้วย

8 ) ขณะที่เรื่องโควิด-19 เธอก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในฐานะผู้นำประเทศ นิวซีแลนด์ประกาศปิดพรมแดน มีมาตรการเด็ดขาดเพื่อป้องกันไม่ให้ในประเทศมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม นั่นทำให้นิวซีแลนด์ มีอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิดจนถึงปัจจุบัน เพียง 2,437 คนเท่านั้น ถือเป็นหนึ่งในประเทศ ที่ได้รับการยกย่องว่า จัดการเรื่องโควิดได้ดีที่สุดในโลกด้วย

9) จาซินด้า อาเดิร์น ยังได้รับการยกย่องอย่างมาก ว่าเป็นคนที่มีความรู้ ในเดือนพฤษภาคม 2022 เธอถูกเชิญให้ไปกล่าวปาฐกถา ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่สหรัฐอเมริกา ต่อหน้านักศึกษามากกว่า 30,000 คน นอกจากนั้นยังถูกเชิญไปพูดที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก ในเดือนกันยายน 2022 อีกด้วย

10) ความนิยมของจาซินด้า พุ่งสูงมาก จนทำให้การเลือกตั้งทั่วไปปี 2020 จากที่เคยมีที่นั่งในสภาเป็นอันดับสองรองจากพรรค เนชันแนล ปาร์ตี้ คราวนี้พรรคแรงงานของเธอ ชนะเลือกตั้งถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ สามารถตั้งรัฐบาลได้ด้วยพรรคเดียวเลยด้วยซ้ำ

11) หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 5 ปี จาซินด้า อาเดิร์น สร้างความเซอร์ไพรส์ ในวันที่ 19 มกราคม 2023 โดยบอกว่า เธอจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2023 เท่านั้น และสามารถเลือกผู้นำคนใหม่ขึ้นมาแทนที่เธอได้เลย โดยตัวเธอจะลงจากตำแหน่งผู้นำ แต่จะทำหน้าที่เป็น ส.ส.ในสภาพต่อไปจนครบวาระ

โดย Speech ของจาซินด้า กล่าวดังนี้ “ในปี 2023 เป็นการย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 ของดิฉันในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล และแต่ละปีที่ผ่านมา ดิฉันทุ่มพลังทั้งหมดที่มีในการทำงานแล้ว”

“ฉันเชื่อว่าการเป็นผู้นำประเทศ คืองานอันยิ่งใหญ่และมีคุณค่ามากที่สุด ที่ใครสักคนจะฝันถึง และแน่นอนมันเป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก ดังนั้นคุณไม่สามารถ และไม่ควรทำงานนี้ถ้าคุณไม่มีพลังงานเต็มถัง และแค่เต็มถังยังไม่พอ คุณต้องมีพลังกาย พลังใจเผื่อไว้อีกเยอะๆ เลย เพราะเรื่องคาดไม่ถึงอาจเกิดขึ้นได้เสมอ”

“ในช่วงซัมเมอร์นี้ ฉันพยายามจริงๆ ที่จะให้ตัวเองทำงานได้ครบปีนี้ จนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ และจริงๆ ดิฉันหวังถึงการได้รับเลือกตั้งในสมัยหน้าด้วย แต่ฉันก็รู้ตัวว่า ไม่มีพลังงานพอที่จะทำมันได้ต่ออีกแล้ว”

“ดังนั้นวันนี้ ดิฉันขอประกาศว่า จะไม่ลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งในสมัยต่อไป และภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงไม่เกินวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้”

“ช่วงเวลา 5 ปีครึ่งที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เติมเต็มชีวิตของดิฉันให้สมบูรณ์ แต่แน่นอนมันก็ต้องเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามามากมาย ทั้งเรื่องโควิด-19, เรื่องภัยธรรมชาติ, เรื่องการก่อการร้าย, เรื่องเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การที่ดิฉันลาออกครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่า ปัญหาเหล่านั้นมันยากเกินกว่าจะจัดการ ถ้ามันยากจนทำไม่ได้จริงๆ ฉันคงลาออกไปตั้งแต่สองเดือนแรกที่เป็นนายกฯ แล้ว”

“การที่ดิฉันลาออก เพราะตำแหน่งนายกฯ เป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบคือคุณต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ คุณคือคนที่เหมาะสมที่จะนำประเทศ และต้องรู้ ว่าเมื่อไหร่ที่คุณไม่ใช่คนที่เหมาะสมอีกแล้ว”

“ฉันรู้ดีว่างานเป็นนายกรัฐมนตรี มันต้องใช้พลังขนาดไหน และฉันรู้ตัวเองเช่นกันว่า ฉันไม่มีพลังเหลือมากพอที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์อีกแล้ว มันเรียบง่ายแบบนั้นเลย”
“แต่ฉันก็เชื่อ และรู้อย่างแน่ชัดว่า คนรอบๆ ตัวดิฉันนั้นยังคงมีพลังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะทำงานต่อไปเพื่อประเทศ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราไปถึงเป้าหมายร่วมกันหลายสิ่ง ซึ่งดิฉันภูมิใจที่มีส่วนกับเรื่องราวเหล่านั้น

“ที่ฉันอำลาตำแหน่งไป ไม่ใช่กลัวว่าจะไม่ชนะการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะฉันเชื่อว่าถ้าลงก็สามารถชนะได้ แต่เราต้องการคนใหม่ ที่มีความสดใหม่ เพื่อลงสนามต่อสู้กับความท้าทายนั้น การตัดสินใจครั้งนี้ คงจะมีการพูดถึงกันว่า เหตุผลที่แท้จริงของดิฉันคืออะไรกันแน่ แต่ฉันบอกคุณได้เลยว่า มันคือเรื่องนี้ที่ฉันบอกคุณวันนี้นี่ล่ะ”

“ดิฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง นักการเมืองทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ เราทุ่มเทที่สุดในสิ่งที่เราทำได้ และเมื่อเราทุ่มเทหมดแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะลงจากตำแหน่ง และสำหรับดิฉัน เวลานั้นคือตอนนี้”

“หลังจากนี้ไปดิฉันยังไม่มีแผนว่าจะทำอะไรต่อ แต่ฉันมองว่าจะมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น เพราะพวกเขาเสียสละมากเหลือเกินเพื่อดิฉันในช่วงเวลาที่ผ่านมา”

“เนวี่ (note : ลูกสาวของจาซินด้า) แม่ตั้งใจจะมีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ตอนที่ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้นะ และ คลาร์ก (Note : แฟนของจาซินด้า) เรามาแต่งงานกันเสียทีเถอะนะ”

“สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบคุณชาวนิวซีแลนด์ทุกคน ที่ให้โอกาสดิฉันได้รับใช้ประเทศ นี่จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในช่วงชีวิตของฉัน”

“ฉันอยากจะฝากความเชื่อให้พวกคุณทุกคนว่า คุณสามารถเป็นคนใจดีแต่แข็งแกร่งพร้อมๆ กันได้ เป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแต่ก็เด็ดขาดได้ และ มองโลกในแง่ดี แต่ก็มุ่งมั่นตั้งใจได้”

“คุณสามารถเป็นผู้นำในรูปแบบของตัวเองได้ และหนึ่งในนิยามของผู้นำที่ดี ก็คือคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาที่ตัวเองควรต้องอำลาตำแหน่ง”

12) การอำลาของจาซินด้า อาเดิร์น สร้างความสั่นสะเทือนให้ทั้งนิวซีแลนด์ และทั่วโลก แม้แต่คริสโตเฟอร์ ลูซอน ผู้นำฝ่ายค้านได้ออกมากล่าวยกย่องว่า “ในนามของพรรคเนชั่นแนล ปาร์ตี้ ผมอยากจะขอขอบคุณความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีจาซินด้า อาเดิร์น ที่ทำเพื่อประเทศของเรามาโดยตลอด เธอทุ่มพลังทั้งหมดในงานที่ยากขนาดนี้ และผมหวังให้เธอและครอบครัวพบแต่สิ่งดีในอนาคต ขอบคุณมากจาซินด้า”

13) ขณะที่นายกรัฐมนตรี แอนโธนี่ อัลบานีส ของออสเตรเลียได้กล่าวว่า “จาซินด้า อาเดิร์น ได้แสดงให้โลกได้เห็นถึงความฉลาด และความแข็งแกร่ง เธอเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีจิตใจดี แต่ก็ยังเป็นผู้นำอันแข็งแกร่งได้ด้วย จาซินด้าเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของนิวซีแลนด์ และเป็นแรงบันดาลใจให้คนมากมาย และเธอก็เป็นเพื่อนที่น่ารักมากสำหรับผมด้วย”

14) ส่วนจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า “ขอบคุณ จาซินด้า อาเดิร์น สำหรับความร่วมมือ และมิตรภาพที่มีให้กันมาตลอด ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจผู้อื่น ความแข็งแกร่ง และความเป็นผู้นำที่มั่นคงของคุณในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่คุณทำแต่ละอย่าง มันประเมินค่าไม่ได้เลย ผมหวังให้คุณและครอบครัวเจอแต่ความสุข”

15) สุดท้ายนี้ การอำลาตำแหน่งของจาซินด้า อาเดิร์น ทำให้ผู้คนในประเทศ และชาวต่างชาติ รู้สึกเสียดายที่ผู้นำวัย 42 ปี ที่ยังมีกระแสความนิยมที่ดีอยู่ กลับลงจากตำแหน่งไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ครบวาระด้วยซ้ำ ซึ่งจากนี้ก็ต้องติดตามต่อไป ว่าใครจะมาเป็นผู้นำคนใหม่ของนิวซีแลนด์ และสเต็ปต่อไปของจาซินด้า เธอจะไปทำงานในสายงานใดต่อ

16) จากเรื่องราวของจาซินด้า สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่งคือแนวคิดว่า แม้จะถืออำนาจในมือ แต่เมื่อรู้สึกได้ว่า ตัวเองไปต่อไม่ได้แล้ว มีคนที่พร้อมจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องหวงอำนาจ การรักประเทศชาติ คือการให้คนที่เหมาะสมที่สุดมาบริหารประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่งที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับคนเพียงคนเดียวตลอดกาล

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า