LGBTQ+ และชีวิตที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง กับนิกกิ ณัฐินีฐิติ

ไม่ว่าจะเพศไหน ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน

แม้ว่าสังคมไทยจะเป็นสังคมที่เปิดกว้างในเรื่องของเพศ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกมุมหนึ่ง ยังมีทรานส์เจนเดอร์และ LGBTQ+ อีกหลายๆ คนที่ยังต้องเผชิญความเจ็บปวดจากการถูกเลือกปฏิบัติทั้งทางตรงและทางอ้อม 

ณัฐินีฐิติ ภิญญาปิญชาน์ (นิกกิ) ผู้ก่อตั้ง ทรานส์ทาเลนท์ ดีอีแอนด์ไอ คอนซัลติ้ง อะคาเดมี่ เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเป็นทรานส์เจนเดอร์มาตั้งแต่เด็ก เธอเล่าให้ฟังว่าในทุกๆ การเปลี่ยนผันช่วงวัยเธอต้องถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสม และความสามารถเพียงเพราะเธอเลือกเป็นตัวของตัวเอง

แม้ประสบการณ์จะทำให้นิกกิเข้มแข็ง แต่อีกนัยหนึ่งก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เพียงเพราะเป็นทรานส์เจนเดอร์จึงจำเป็นต้องเข้มแข็งขนาดนั้นเลยหรือ workpointTODAY ชวนย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ของนิกกิ ณัฐินีฐิติ ในรายการ AIM HOUR เกี่ยวกับมุมมองและชีวิตในฐานะ LGBTQ+ กัน

#ชีวิตแห่งการพิสูจน์ตัวเอง

นิกกิเล่าให้ฟังว่า ด้วยความที่เธอเป็น LGBTQ+ อีกทั้งที่บ้านยังมีฐานะยากจน ทำให้เธอต้องขวนขวายเพื่อให้ตัวเองมีโอกาสทัดเทียมเพื่อนคนอื่นๆ ตั้งแต่เด็ก นิกกิต้องสอบชิงทุนเสมอ และเมื่อถึงวัยทำงาน เธอยังต้องเจอการเลือกปฏิบัติ จนทำให้ถูกปฏิเสธงานที่ใฝ่ฝัน แม้จะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมก็ตาม

แต่พิสูจน์ตัวเองกับอะไรก็ไม่สำคัญเท่าพิสูจน์ตัวเองกับครอบครัว นิกกิเล่าว่าจนถึงตอนนี้ครอบครัวของเธอก็ยังพูดออกมาไม่ได้เต็มปากว่า “ฉันภูมิใจมากที่มีลูกเป็นทรานส์เจนเดอร์” ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสังคมและวัฒนธรรมของครอบครัวไทย ที่ทำให้เปิดใจยอมรับความแตกต่างยาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นภายในบ้านของตัวเอง

แต่ถึงเช่นนั้น นิกกิมองว่าครอบครัวของเธอกำลังค่อยๆ เรียนรู้ “สำหรับฉัน ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่บอกว่าพวกเขายอมรับตัวตนเราได้จริงๆ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าพวกเขาปฏิบัติกับฉันดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่ได้บังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ไม่ชอบ” 

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวยอมรับตัวตนของเธอ เป็นเพราะเธอพิสูจน์ตัวเองว่า ‘นิกกิที่เป็นนิกกิ’ สามารถดูแลตัวเอง รับผิดชอบครอบครัวได้ แต่นั่นก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นการยอมรับความแตกต่างในสถาบันครอบครัว

#ความรักและความสัมพันธ์

เช่นเดียวกับทุกๆ คน ทรานส์เจนเดอร์และ LGBTQ+ เองก็ต้องการมีความรักที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่สร้างความสุขให้กับชีวิต 

นิกกิเล่าว่าแม้ปัจจุบัน สังคม ค่านิยม และมุมมองเรื่องเพศจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ทรานส์เจนเดอร์และ LGBTQ+ ก็ยังต้องปรับตัวเมื่อจะมีความสัมพันธ์กับใครสักคน “เราไม่สามารถรักใครสักคน แล้วทุ่มเทให้เขาได้มากขนาดนั้น เพราะว่าเรายังเชื่อข้ออ้างที่บอกว่าผู้ชายอยากมีลูก แต่ทรานส์เจนเดอร์มีลูกไม่ได้ พวกเขาเลยสร้างครอบครัวด้วยกันไม่ได้”

“นั่นคือความคิดที่ตีกรอบการนึกถึงตัวเองเช่นกัน  และนั่นทำให้ขาดความมั่นใจในการคบหากับผู้ชาย เพราะจะกลัว วันหนึ่งเขาจะใช้ข้ออ้างที่ว่าไม่สามารถมีลูกได้ เพื่อทิ้งเรา”

นิกกิบอกว่า ปัจจุบันยังมี LGBTQ+ ที่คิดแบบนี้อยู่มาก แต่เธอได้ก้าวข้ามชุดความคิดนี้มาแล้ว เธอมองว่า ‘ความรัก’ ไม่ได้ลงเอยด้วยการมีลูกเสมอไป แต่มันหมายถึงการมีคู่ชีวิต และอยู่ด้วยกันไปในอนาคต

“ฉันเลยไม่สนใจว่าผู้คนจะตีกรอบตัวฉันอย่างไร หรือพยายามทำให้เชื่อว่าฉันไม่สมควรเจอรักแท้ ฉันเชื่อว่าตัวสมควรได้เจอรักแท้ แต่ความรักแบบไหน มันจะออกมาเป็นรักอย่างไร เราจะเป็นคนตัดสินเอง ไม่ใช่สังคมเป็นคนกำหนด หรือผู้ชายแค่คนเดียว 

แม้ว่าคุณค่าของมนุษย์ไม่ควรถูกกำหนดด้วยความคิดหรือสายตาคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน มนุษย์เรายังต้องพึ่งพากันและกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง และตราบใดที่เรายังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากมันได้ 100% 

แต่สิ่งที่ทำได้คือการสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน สร้างชุดความคิด สร้างคุณค่าที่ทุกคนได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียมกัน ถึงมันจะต้องใช้เวลา แต่เมื่อวันนั้นมาถึง มันจะคุ้มค่าอย่างแน่นอน

ดูสัมภาษณ์ฉบับเต็มของนิกกิได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=pH4HSaKAjC8&t=946s